ลุ้นระทึกใจ ! ดีเอสไอ "ฟ้อง-ไม่ฟ้อง" ธัมมชโย คดีอาญา ข้อหารับของโจร
ลุ้นระทึกใจ ! ดีเอสไอ "ฟ้อง-ไม่ฟ้อง" ธัมมชโย คดีอาญา ข้อหารับของโจร
พ.ต.ท. ปกรณ์ สุชีวกุล ผู้บัญชาการสำนักคดีการเงินการธนาคาร กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยความคืบหน้าการสอบเส้นทางการเงิน ในคดีพิเศษที่ 146/2556 ข้อหายักยอกทรัพย์จากสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น ซึ่งนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ฯ และพวกรวม 4 คน เซ็นเช็คสหกรณ์สั่งจ่ายแก่บุคคลต่างๆ จำนวน 878 ฉบับ รวมมูลค่า 12,160 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มี 22 ฉบับที่สั่งจ่ายแก่ วัดพระธรรมกาย พระเทพญาณมหามุนี (พระธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ขนนกยูง และพระลูกวัดของธรรมกาย ระหว่างปี 2552–2553 รวมมูลค่ากว่า 1,260 ล้านบาท
พ.ต.ท. ปกรณ์ เปิดเผยว่า คดีนี้เคยสรุปสำนวนให้อัยการสั่งฟ้องไปตั้งแต่ปี 2557 แต่อัยการได้สั่งสอบเพิ่มเติมใน 8 ประเด็น โดยเฉพาะเส้นทางเช็คทั้ง 878 ฉบับ ซึ่งดีเอสไอจะสรุปสำนวนเพิ่มเติมส่งให้อัยการภายในเดือนตุลาคมนี้ โดยส่วนหนึ่งของสำนวนสรุปข้อกล่าวหาระบุว่า เช็คที่สั่งจ่ายไปบุคคลต่างๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้มีมูลหนี้ต่อกันจริง ส่วนเช็คที่สั่งจ่ายไปกลุ่มวัดพระธรรมกาย ซึ่งนายศุภชัยแจ้งว่าเป็นการบริจาคเงินเพื่อศาสนา ก็ถือเป็นการกระทำที่ไม่สุจริตดังนั้น วัดพระธรรมกายรวมถึงส่วนที่เกี่ยวข้องก็อาจเข้าข่ายรับของโจร ซึ่งส่วนนี้เป็นความเห็นประกอบสำนวนของพนักงานสอบสวน ไม่ใช่การแจ้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด จึงขึ้นอยู่กับอัยการว่าจะมีดุลยพินิจให้สั่งฟ้องเพิ่มเติมในประเด็นใดหรือไม่ ซึ่งถ้ามีความเห็นให้ฟ้องเพิ่มเติมในข้อหารับของโจร ก็จะส่งสำนวนกลับมาให้ทางดีเอสไอสอบสวนเพิ่มเติม
พ.ต.ท. ปกรณ์ กล่าวอีกว่า จากการให้ปากคำของตัวแทนของวัดพระธรรมกาย สามารถชี้แจงการใช้จ่ายเงินได้เพียง 70% ของที่ได้รับบริจาค โดยอ้างว่านำเงินไปก่อสร้างศาสนสถานในวัด ขณะที่เอกสารการใช้จ่ายบางส่วนนั้น วัดอ้างว่าสูญหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้สหกรณ์ฯคลองจั่น เคยยื่นฟ้องเรียกทรัพย์คืนต่อวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโยมาแล้ว จนนำไปสู่การไกล่เกลี่ยยอมความ โดยคณะศิษย์ของวัดพระธรรมกายยอมลงขันจ่ายเงินคืนสหกรณ์เฉพาะส่วนที่บริจาคให้วัดพระธรรมกายและพระธัมมชโย 11 ฉบับ มูลค่า 684.78 ล้านบาท เพื่อแลกกับการถอนฟ้องคดี ซึ่งการเฉลี่ยจ่ายจะครบถ้วนภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ อย่างไรก็ตาม ขณะนั้นเป็นการฟ้องตามหลักฐานการบริจาคเงินที่พบ ซึ่งภายหลังดีเอสไอพบหลักฐานการบริจาคเงินเพิ่มเติมจนยอดรวมพุ่งไปเป็น 1,260 ล้านบาท