ประสบการณ์ขนหัวลุก!! “ค่ า ย อ า ส า กั บ สั ม ผั ส ส ย อ ง ปี ที่ ๑”
เป็นเรื่องที่ผม เพื่อนๆ และ น้องๆ ได้พบเจอ หรือ สัมผัสได้กับตัวเอง
เป็นเรื่องราวที่ทุกครั้งที่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครต่อใครฟังนั้น
คนที่ได้รับฟังมักจะแนะนำให้ไปเล่าออกรายการเล่าเรื่องผีต่างๆ หรือเขียนลงในพันทิป เพื่อเป็นการแบ่งปันประสบการณ์
แต่ก็ไม่มีเวลา และ โอกาสที่จะได้สมัคร หรือ เขียนเล่าเรื่องสักที
อีกทั้งเรื่องราวที่พวกผมได้สัมผัสนั้น ยากเหลือเกินที่จะนำมาเล่า หรือ นำมาเขียน
ก็เพราะผู้ที่ได้สัมผัสกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ มีมากกว่า 30 คน
ซึ่งแต่ละคนก็พบเจอในหลายรูปแบบ มีทั้งเจอร่วมกันหลายคน และ พบเจอแบบตัวคนเดียว…จนวันนี้ พอดีมีเวลาหยุดพักจากงาน จึงลองมานั่งเรียบเรียง และลำดับเหตุการณ์ต่างๆเป็นช่วงๆ
และเริ่มเขียนเรื่องราวนี้ไว้ ก่อนที่ความทรงจำเรื่องนี้จะเลือนหายไป
ถึงแม้จะรู้ตัวเองดีอยู่แล้วว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น ผมคงไม่มีทางลืม…
ปีที่ 1 ตอนที่ 1
“เตรียมค่าย”
เรื่องเล่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง และยังไม่เคยถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการที่ไหน…
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2550 ในขณะนั้น ผมศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
ตัวผมและเพื่อนๆนั้นเป็นพวกชอบทำกิจกรรม โดยเฉพาะกิจกรรมการออกค่ายอาสาต่างๆ
จนวันหนึ่งได้รู้จักกับคณะกรรมการมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ชื่อว่า “พี่เอ”
เขาเป็นคนจัดทำกิจกรรมเกี่ยวกับค่ายอาสาสำหรับเด็กและเยาวชน
พวกผมจึงได้เข้าร่วมโครงการต่างๆไปกับเขา ซึ่งก็ผ่านไปด้วยดีในทุกๆโครงการ
จนเมื่อพวกผมเริ่มมีประสบการณ์การทำค่ายมากขึ้น ก็เริ่มอยากที่จะออกค่ายที่ยาก และไกลมากขึ้น
จึงได้ประชุมและปรึกษาพี่เอ เพื่อหาสถานที่และเตรียมการในด้านต่างๆ
จนในที่สุด ก็ได้โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดพิจิตร ซึ่งทาง อบต. ได้มีโครงการจะจัดกิจกรรมให้เด็กในโรงเรียนพอดี
โดยเป็นกิจกรรม 3 วันต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าพวกเราต้องไปกัน 4 วัน 3 คืน
นับเป็นค่ายที่นานที่สุดของพวกเราในตอนนั้น แต่พวกเราก็ตอบรับโดยไม่ต้องคิด และ เร่งจัดเตรียมแผนการกันทันที
วันออกเดินทาง…
พวกเราทั้งหมด 22 คน สะพายกระเป๋า และ เต็นท์ มารวมตัวกันที่สถานีรถไฟดอนเมือง เพื่อนั่งรถไฟไปยังจังหวัดพิจิตร
เมื่อขึ้นรถไฟ บางคนก็หลับ บ้างก็เฮฮาร้องเพลง บ้างก็นั่งฟังเพลง ตามแต่ความต้องการของแต่ละคน
ในที่สุด หลังจากนั่งรถไฟกันมาเป็นเวลานาน พวกเราเดินทางถึงสถานีเป้าหมายในช่วงเย็น
มีคณะครู 2-3 คน มายืนรอต้อนรับเพื่อพาไปยังโรงเรียน ที่สามารถมองเห็นได้เมื่อยืนอยู่ที่สถานีรถไฟ
พวกเราแบกของและเดินตามครูไปยังโรงเรียน ซึ่งระหว่างเดินไปก็มองไปที่โรงเรียน
จากข้อมูลโรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนอนุบาล จนถึง ระดับชั้นปฐม มีอาคารเรียนหนึ่งหลัง ชั้นล่างเป็นปูน ชั้นบนเป็นไม้
พวกเราสังเกตเห็นสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ และ สนามเด็กเล่นบริเวณใกล้ๆกับอาคาร
ในหัวของพวกเราตอนนั้นคิดแต่เรื่องการจัดกิจกรรม จึงมองหาแต่พื้นที่ และดูตำแหน่งที่ตั้งต่างๆ เพื่อนำมาวางแผน
เมื่อวางของเรียบร้อย พวกเราไม่รอช้า เดินสำรวจพื้นที่กางเต็นท์ ซึ่งก็หนีไม่พ้นพื้นที่ในสนามฟุตบอล
พวกเราสนุก เฮฮาไปกับการกางเต็นท์ และหยอกล้อกันไปมาตามภาษาเด็กวัยรุ่นทั่วไป จนกระทั้งกางเต็นท์เสร็จ
ทางโรงเรียนได้มอบกุญแจห้องประชุมเล็กไว้ให้กับพี่เอ เพื่อเก็บของ
และกุญแจห้องอนุบาลชั้น1ไว้ให้หนึ่งห้อง เผื่อไว้นั่งประชุมและเตรียมงาน
พวกเรากินข้าวที่ทางโรงเรียนจัดไว้ให้เรียบร้อย ก็อาบน้ำ และประชุมงานที่จะเริ่มในวันพรุ่งนี้ (ซึ่งหนักไปทางนั่งเล่นกันมากกว่า)
หลังจากนั่งคุยกันจนดึก ก็เริ่มแยกย้ายกันเข้าเต็นท์ โดยที่พี่เอก็เดินตรวจเต็นท์ดูความเรียบร้อยตามปกติ
ผมนอนอ่านหนังสือเล่นอยู่ในเต็นท์คนเดียว ในขณะที่คนอื่นยังส่งเสียงกันอยู่เต็นท์ข้างๆ
จนพี่เอเดินมาถึงเต็นท์ผม และ เปิดเต็นท์ผมออก ซึ่งตัวผมเองก็รู้ว่าพี่เขาเปิดดูตามระเบียบ ก็ไม่ได้สนใจ จึงได้แต่ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ
เมื่อพี่เอปิดเต็นท์ไปสักพัก เพื่อนคนหนึ่งก็เดินมาเปิดเต็นท์ผม และบอกว่าพี่เอเรียกประชุม
ผมเองก็งงๆ เพราะพึ่งประชุมเสร็จ แต่ก็ลุกออกจากเต็นท์และเดินไปยังห้องอนุบาลชั้น1
เมื่อเข้าไปกันพร้อม พวกเราก็นั่งกันเป็นวงกลม เพื่อเตรียมประชุม โดยที่ทุกคนต่างมองไปที่พี่เอด้วยความสงสัย
เพราะพึ่งจะประชุมเสร็จกันไปไม่นาน จึงงงกันว่าจะคุยเรื่องอะไร
พี่เอเองก็ไม่รอช้า เริ่มถามเกี่ยวกับการนอนเต็นท์ของแต่ละคนว่า ใครนอนกับใครบ้าง
ซึ่งทุกคนก็ตอบกันตามปกติ จนมาถึงผมซึ่งเป็นคนสุดท้าย ผมก็ได้ตอบไปว่า “นอนคนเดียว”
นั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนในค่ายรู้กันอยู่แล้วว่าผมชอบนอนคนเดียว เพราะผมเป็นคนหลับยาก
เมื่อทุกคนตอบครบ พี่เอก็ถามต่อว่า “พวกเรามากันกี่คน”
พวกผมก็ตอบกันไปว่า “ทั้งหมดก็ 22 คน ครับ”
พี่เอเอ่ยต่อทันทีว่า “แต่เมื่อกี้ที่พี่เดินตรวจตามเต็นท์ พี่นับได้ 23…”
ตอนนี้ในห้องเงียบสนิท ทุกคนต่างมองตากันไปมา และสายตาไปจบอยู่ที่พี่เอ
“คนอื่นตอบมาตรง ยกเว้นแบงค์” พี่เอเอ่ยต่อโดยไม่ต้องให้ใครถาม (ผมชื่อแบงค์)
ไม่มีใครพูดอะไรต่อ แม้กระทั้งผม และทุกคนได้แต่มองกันมาที่ผม
“แบงค์นอนอ่านหนังสืออยู่มุมขวาของเต็นท์ใช่ไหม?” พี่เอถามพร้อมมองหน้าผม
“ใช่ครับ” ผมตอบกลับทันที
“แต่พี่เห็นคนนั่ง เอาผ้าขาวคลุมตัว นั่งตัวสั่นอยู่ที่มุมซ้ายของเต็นท์” พี่เอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
ทั้งห้องเงียบกว่าก่อนหน้านี้เข้าไปอีก และหลังจากเงียบได้ไม่นานก็เริ่มมีเสียงซุบซิบคุยกัน
“พี่ว่า คืนนี้เรานอนรวมกันในนี้ดีกว่า แล้วก็เดี๋ยวพวกเราไปจุดธูปไหว้เจ้าที่เจ้าทางกัน มานี่วุ่นๆ ลืมจุดกันเลย” พี่เอเอ่ย
พวกเราไม่มีใครโต้แย้ง ทุกคนเดินออกจากห้อง ไปหยิบของในเต็นท์ ซึ่งตอนนั้นผมเองก็ไม่ได้กลัวอะไร
เพราะส่วนตัวผมเป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่ผมก็ไม่เคยลบหลู่
หลังจากที่ทุกคนจุดธูปไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ก็เดินไปจุดธูปไหว้พระประจำโรงเรียน
ซึ่งพวกผมเองก็พึ่งสังเกตว่า พระที่นี่ตั้งหันหน้าไปทางทิศใต้ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก เพราะคิดว่าแต่ละพื้นที่คงจะไม่เหมือนกัน
เมื่อไหว้พระเสร็จ ก็ได้จัดของในอนุบาลชั้น1 เพื่อนอนรวมกัน
และนั้นเป็นค่ำคืนแรก และคืนสุดท้าย ที่พวกเราได้นอนหลับกันอย่างสบาย…โดยไม่มีใครมากวน!!!
ปีที่ 1 ตอนที่ 2
“เปิดค่าย”
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราตื่นกันตั้งแต่เช้ามืด เพื่ออาบน้ำ แต่งตัว และ จัดเตรียมสิ่งต่างๆให้พร้อมกับการเปิดค่าย
เพื่อนคนหนึ่งในค่ายชี้ให้เพื่อนคนอื่นดูพร้อมพูดแซวขำๆว่า “หลวงพี่เดินไวมาก ไม่รอเด็กวัดเลย”
ทุกคนพากันมองไปที่หน้าโรงเรียน บริเวณที่มีพระประจำโรงเรียนตั้งอยู่ พร้อมกับพากันหัวเราะกับภาพที่เห็น
เพราะพระท่านเดินไวจริงๆ ในขณะที่เด็กวัดก็พยายามเดินไวตาม แต่ก็เดินไม่ทัน
กิจกรรมค่ายดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ตั้งแต่เช้า จนเย็น
พวกเราทำการส่งนักเรียนกลับบ้าน และเมื่อนักเรียนกลับบ้านหมด พวกเราก็อาบน้ำกันที่บริเวณหน้าห้องน้ำ
ซึ่งทั้งผู้ชายผู้หญิงก็ยืนอาบน้ำกันกลางแจ้งแบบคนต่างจังหวัด โดยผู้ชายใส่ผ้าขาวม้า
ส่วนผู้หญิงใส่ผ้าถุงอาบน้ำ และ ตากผ้าไว้บริเวณแท่งน้ำปูน ซึ่งมีอยู่4 แท่งเรียงกันอยู่หน้าห้องน้ำที่มีอยู่ 4 ห้อง
เมื่อถึงเวลานัดหมายสรุปกิจกรรมประจำวัน ทุกคนก็มานั่งเป็นวงกลมอย่างพร้อมเพียงกัน
พี่เอสรุปกิจกรรมที่ทำไปวันนี้ และ ร่วมกันวางแผนในวันพรุ่งนี้ต่อ จนมืด
ก็ตกลงนอนรวมกันในห้องนี้อีกคืน เพราะทุกคนรู้สึกว่าเมื่อคืนเป็นการนอนที่สบายมาก
พวกเรานอนเอาหัวเข้าหากัน เอาเท้าไปทางผนังห้อง มีแต่ผมที่นอนขั้นกลางห้องบนหัวของเพื่อนๆ
หลังจากที่ปิดไฟในห้องได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีเพื่อนคนหนึ่งปวดฉี่ และ ชวนผมไปห้องน้ำที่อยู่ข้างนอกห้อง ผมลุกและเปิดประตูออกไปกันอย่างเงียบๆ
เมื่อเดินกลับมาถึงหน้าห้อง ผมและเพื่อนก็ยืนรับไอฝนที่พึ่งตกบริเวณหน้าห้อง โดยที่ยังไม่เข้าไปในทันที
เสียงเพื่อนในห้องคนหนึ่งตะโกนออกมาว่า “เห้ย เข้ามาได้แล้ว มานอนๆ”
ผมและเพื่อนจึงเปิดประตูเข้าไปในห้องและล้มตัวนอน
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เพื่อนหลายคนหลับไป แต่ผมยังดิ้นไปดิ้นมาอยู่
อยู่ๆผมเห็นพี่เอลุกขึ้นมานั่ง และมองมาที่ผม ซึ่งผมก็ถามไปทันทีว่า “มีอะไรครับพี่”
“แบงค์ ลุกมานี่” พี่เอพูดเบาๆพร้อมควักมือเรียก
ผมลุกขึ้นเดินไปหาพี่เอที่อยู่มุมห้องด้านขวา ในขณะที่เพื่อนที่อีก 2 คนก็ลุกมองและถูกเรียกไปเช่นกัน
หลังจากไปนั่งรวมกลุ่มกัน 4 คนที่มุมห้องสักพัก ผมก็ตัดสินใจถามพี่เอว่า “มีอะไรหรือป่าวครับพี่”
“เงียบก่อน ตั้งใจฟังดีๆ”พี่เอเอ่ยเบาๆ
หลังจากพี่เอเอ่ยไม่นาน ผมก็ได้ยินเสียง “แกร็ก แกร็ก” เหมือนคนเดินลากอะไรอยู่ข้างนอก
ผมมองหน้ากัน และพยายามตั้งใจฟังเสียงนั้นต่อไป
เสียงมันเริ่มใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น จนมาหยุดตรงที่หน้าประตูห้อง
“รอตีสอง เขาเข้ามาแน่ๆ อย่าแตกตื่นละ” เสียงพี่เอพูดเบาๆ โดยสายตามองไปที่ประตู
พวกผมไม่พูดอะไร ได้แต่จ้องมองไปที่ประตู สลับกับมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ ซึ่งอีกไม่กี่นาทีก็ตีสอง
“เข้ามาแล้ว” พี่เอพูดขึ้น ซึ่งเป็นเวลาตีสองตรงกับนาฬิกาที่ข้อมือผม
เพื่อนที่นอนติดหน้าประตูนอนคว่ำหน้า อยู่ๆก็พับขาทั้งสองข้างขึ้นฟ้าข้างไว้
และเมื่อขาลดลงตามปกติ เพื่อนอีกคนที่นอนถัดกัน ก็นอนคดกะทันหันเหมือนคนหนาวมากๆ
และเมื่ออาการกลับเป็นปกติ อยู่ๆเพื่อนอีกคนที่นอนใกล้ๆกันก็ลุกขึ้นนั่งอย่างไว พร้อมกันมองมาทางพวกผม
แต่สายตาที่มองมานั้นดุมาก และเขาจ้องมองอยู่อย่างนั้น ไม่พูดอะไร จนพี่เอตะโกนเรียกชื่อเขาซ้ำถึง 3 ครั้ง
เพื่อนคนนั้นจึงล้มตัวลงนอนสงบลงเหมือนปกติ
“คนต่อไปเนี่ย เขาเอาแน่” พี่เอเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นยืน
พวกผมลุกขึ้นยืนตาม และถามกลับไปว่า “ใครพี่”
“ไอ้เบนซ์!!!” พี่เอตะโกน พร้อมเดินเข้าไปหาเบนซ์ (เพื่อนคนหนึ่งในค่าย)
ในขณะที่ผมเดินไปเปิดไฟ และเดินไปที่ปลายขาของเบนซ์
ตาของเบนซ์เหลือกขึ้นเห็นแต่ตาสีขาว นอนสำลักเหมือนคนจมน้ำ
ผมตะโกนเรียกเบนซ์ จนเพื่อนในห้องเริ่มตื่นทีละคน จนในที่สุดก็ตื่นกันหมดทุกคน เว้นแต่เบนซ์
พี่เอนำพระมาวางไว้ที่หัวของเบนซ์ แต่ก็ไม่เป็นผล เบนซ์ยังคงไม่ตื่นและสำลักยิ่งกว่าเดิม
ตอนนั้นผมตกใจมาก คิดอะไรไม่ออก เลยถอดพระที่คอตัวเองที่แม่ให้ติดตัวมาก่อนมาที่นี่
และวางไว้ที่อกเบนซ์ พร้อมท่องนโม 3 จบ และท่องบทแผ่เมตตา (ท่องเป็นแค่นั้น)
เมื่อท่องจบปุ๊บ สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น นั้นคือเบนซ์ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที พร้อมกับคำถามว่า “ใครเป็นอะไรหรอ”
ทุกคนหัวเราะกับคำถามของเบนซ์ และก็ได้นั่งรวมกลุ่มเพื่อพุดคุยกันในทันที
ผมรู้มาแค่ว่าพี่เอเขามีองค์ มีของ แต่ผมไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้เลย ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็ทำให้ผมอดสงสัยในตัวพี่เอไม่ได้ว่า ทำไมเขาถึงรู้…
ปีที่ 1 ตอนที่ 3
“ค้นค่าย”
หลังจากเวลาผ่านไปเกือบตี 4 ทุกคนก็นอนกันประจำที่เดิม โดยที่ตั้งใจกันว่า คงไม่ได้หลับ
ซึ่งในขณะนั้น ผมเองไม่มีอาการง่วงเลยแม้แต่น้อย แต่อยู่ๆ สติผมก็ขาดหายไปเหมือนมีใครปิดสวิท
ผมมารู้สึกตัวอีกทีตอนได้ยินเพื่อนคนหนึ่งลุกเปิดไฟ และ ตะโกนว่า “ไม่ไหวแล้วโวย!!!”
ผมก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือ ก็รู้ทันทีว่านาฬิกาผมตาย เพราะเข็มสั้นชี้เลข 2 เข็มยาวชี้เลข 12
ผมนึกในใจตอนนี้คงไม่ใช่ตี 2 แน่ๆ จึงถามเพื่อนข้างๆว่ากี่โมงแล้ว เสียงตอบกลับมาว่า “ตี5ครึ่ง”
ทุกคนในห้องลุกขึ้นนั่งอย่างดูไม่เหมือนคนพึ่งตื่น นั้นเป็นเพราะทุกคนไม่ได้นอน ยกเว้นผม
เพื่อนหลายคนลุกไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำกัน โดยมีบางส่วนยังนั่งอยู่ในห้องพูดคุย และ เตรียมของเพื่อไปอาบน้ำ
“อ้าว พี่เออยู่นี่หรอ” เพื่อนในค่ายคนหนึ่งเอ่ยด้วยความตกใจ ขณะที่ยืนอยู่หน้าประตู
“เออ พี่ก็อยู่นี่ มีอะไรรึ” พี่เอตอบกลับขณะที่พึ่งลุกจากที่นอน
“ก็ผมสองคนเห็นพี่เดินเข้าห้องน้ำห้องที่สองไป ผมจะเอากุญแจห้องเก็บของ ก็เลยเดินไปเคาะประตู ก็ไม่มีใครตอบ”เขาพยายามอธิบายอย่างไว
“จะตอบได้ไง ก็พี่นอนอยู่นี่ ยังไม่ได้ไปไหนเลย”พี่เอตอบนิ่งๆ
พวกเราพากันเดินไปที่ห้องน้ำห้องนั้น และปรากฏว่า ประตูถูกปิดไว้จริงๆ
ผมจึงได้ตัดสินใจผลักประตูเข้าไป สิ่งที่เห็นคือห้องน้ำโล่งๆ ไม่มีใครอยู่
“ตาฝาดแล้วพวกเอ็งอ่ะ” พี่เอเอ่ยพร้อมกับเดินกลับไปที่ห้อง
พวกผมหลายคนยืนคุยกันอยู่หน้าห้องน้ำสักพัก และได้พูดคุยกันถึงความสงสัยเกี่ยวกับห้องน้ำที่นี่
เพราะโดยปกติของห้องน้ำ คือเข้าไปแล้วจะต้องหมุนตัวหันหน้าไปทางประตูก่อน ถึงจะนั่งส้วมได้
แต่ห้องน้ำที่นี่ เข้าไปถึงนั่งส้วมได้เลย โดยที่หน้าหันมองกำแพง และเมื่อเงยหน้าจะเจอช่องระบายลมเล็กๆ ซึ่งเป็นเหมือนกันทั้งสี่ห้อง
พวกเราจึงเก็บความสงสัยเหล่านั้นไว้ เพื่อมุ่งสมาธิไปที่การจัดกิจกรรมให้เด็กเสียก่อน
เมื่อจัดกิจกรรมวันที่สอง เสร็จในช่วงบ่าย พวกเราก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับอาจารย์ในโรงเรียน
และแน่นอน พวกเราไม่เก็บความสงสัยต่างๆนานๆที่ได้พบเจอไว้ในใจแน่ พวกเราถามข้อมูลตามที่สงสัย
ต่างคนก็ต่างถามข้อมูลกับอาจารย์แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสพูดคุยด้วย ซึ่งเรื่องเก็บข้อมูลนั้น เป็นงานถนัดของพวกเราอยู่แล้ว
จนเมื่อถึงตอนเย็น พวกเราก็ได้มานั่งคุยกันเพื่อแชร์ข้อมูลที่ได้รับมา
ผมได้นั่งประกอบข้อมูลที่หลายคนได้รับมา แล้วสรุปออกมาได้ว่า
โรงเรียนแห่งนี้สร้างขึ้นจากไม้ของศาลจีนเก่า ใช้เวลาการสร้างไวมากเพียง 20 วัน
เคยมีเด็กผูกคอตายที่สนามเด็กเล่น ซึ่งเป็นบริเวณที่พวกผมนั่งคุยกันอยู่ตอนนี้
ซึ่งเด็กคนที่ผูกคอตายนั้น เป็นเด็กชอบกิจกรรมมาก เวลามีค่ายอาสามาจัดที่โรงเรียน เขาจะเข้าร่วมอย่างตั้งใจทุกครั้ง
แล้วยังมีเด็กอนุบาล2คน ที่เคยเรียนในห้องที่พวกผมนอน จมน้ำตาย
แต่เป็นการจมน้ำตายที่แปลกมาก เพราะเด็กไปจมน้ำตายอีกอำเภอหนึ่ง ซึ่งตำรวจก็ยังหาศพไม่พบ แต่พบรองเท้าเด็ก2คู่ อยู่ริมน้ำ
โดยที่พ่อ และแม่ของเด็กก็ยังคงรอลูกเขากลับบ้าน เพราะเชื่อว่าลูกเขายังไม่ตาย ถึงแม่เรื่องจะผ่านไปแล้วถึง 22 ปี
ส่วนเรื่องที่เห็นผู้ชายหุ่นเหมือนพี่เอเดินเข้าห้องน้ำห้องที่สอง ได้ข้อมูลจากภารโรงในโรงเรียนมาว่า
ภารโรงคนเก่าถูกยิงเสียชีวิตในห้องน้ำห้องนั้น หลังจากเด็กอนุบาล2 คนที่จมน้ำ หายไปได้ไม่นาน
เพื่อนคนหนึ่งไปได้ข้อมูลมาอีกว่า แท่งน้ำทั้ง4แท่ง ตั้งแต่สร้างเสร็จ จนถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยได้ใช้งานเลย
ถูกสร้างขึ้นโดยภารโรงคนก่อนหน้าที่ถูกยิงเสียชีวิต แต่เมื่อภารโรงคนนั้นเสียชีวิต เขาก็กลับมาทำหน้าที่ต่ออีกหลายปี
หลังจากนั้นก็ลาออก แล้วภารโรงคนปัจจุบันที่ให้ข้อมูลพวกเราก็เข้ามา
ซึ่งบ้านของภารโรงคนเก่านั้นก็อยู่ไม่ไกล อยู่ติดกับห้องน้ำ ซึ่งถ้าเข้าห้องน้ำแล้วมองรอดผ่านไปทางช่องระบายลม
ก็จะเห็นบ้านไม้สองชั้นหลังใหญ่ สีเลือดหมู ล้อมรั้วปูนอย่างดี ซึ่งไม่มีใครคิดว่านั้นเป็นบ้านของอดีตภารโรง
เมื่อทุกคนแชร์ข้อมูลของกันและกันจนเสร็จ ก็แยกย้ายกันทำธุระส่วนตัว
โดยที่บรรยากาศในค่ายเริ่มเงียบขึ้นตามแสงอาทิตย์ที่ตกลงเรื่อยๆ
ผมและเพื่อนอีก2คน ตัดสินใจเดินไปยังบ้านภารโรงคนเก่า
เมื่อเดินไปถึงหน้าบ้าน ผมเห็น ประตูรั้วเปิดทิ้งไว้ จึงได้ตะโกนลอยๆเข้าไปว่า “ขอโทษครับ มีใครอยู่ไหมครับ”
ผมช่วยกันตะโกนอยู่หลายครั้ง แต่ไม่มีใครตอบกลับ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปในรั้วบ้าน
แต่ก็ไม่กล้าเดินเข้าไปลึกมา ได้แต่ตะโกนถามคำถามเดิมๆไปตลอดทาง
จนในที่สุดมีผู้ชายตัวใหญ่ ผิวดำ คนหนึ่ง เดินถอดเสื้อออกมาจากบ้าน แต่ไม่เดินเข้ามาหาพวกเรา
“มาทำอะไร” ผู้ชายคนนั้นถามอย่างเรียบๆ
“เอ่อ.. คือเราเป็นนักศึกษามาจัดค่ายอาสาให้โรงเรียนนี้อ่ะครับ พอดีจะมาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องภารโรงคนเก่าหน่อยจะได้ไหมครับ” ผมเอ่ยอย่างรวดเร็ว
“ไม่ว่าง”เขาเอ่ยนิ่งๆ และเดินกลับเข้าไปในบ้านทันที
พวกเรายืนงงๆ และค่อยๆเดินออกมาช้าๆ หยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านของเขา
“เห้ย!!!”เพื่อนผมคนหนึ่งตะโกนดังลั่น พร้อมกับหันหน้ามองลงพื้นดิน
“เป็นไรของ”เพื่อนอีกคนถามทันที
“กูเห็นมีคนมองพวกเราจากในห้องน้ำ”เขาตอบทั้งที่ตายังมองพื้นดิน
“ห้องไหน”ผมถามกลับ
“ห้องสอง”เขาตอบเบาๆ
ผมและเพื่อนอีกคนเดินเข้าไปด้านหลังห้องน้ำเพื่อความแน่ใจ และส่องดูที่ช่องระบายลมห้องที่สอง
แต่ก็ไม่พบอะไร จึงได้ตะโกนถามไปลอยๆว่า “เห้ย ใครอยู่ในห้องน้ำรึป่าว” แต่ก็ไม่มีการตอบรับกลับมา
พวกเราจึงเดินกลับเข้าไปในโรงเรียน และตกลงกันว่าจะไม่เล่าเรื่องพวกนี้กับคนอื่น เพราะกลัวจะกลัวกันมากกว่าเดิม
ซึ่งพอเข้าไปถึง บรรยากาศในค่ายดูวุ่นๆ พวกเราเลยเดินเข้าไปถามว่ามีอะไรกัน
ก็ได้เรื่องว่า ขณะที่นั่งเล่นกันอยู่ อยู่ดีๆก๊อกน้ำที่อยู่ใกล้ๆก็เปิดเอง ซึ่งเปิดแบบสุดแรง
(ก๊อกน้ำเป็นก๊อกแบบเก่า ที่เป็นลักษณะฝาพับ สามารถล็อคกุญแจได้)
“เออ ชั่งเถอะ ป่ะพวกเรากินข้าว จะได้ประชุมงาน ได้พักผ่อน เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว”
ผมเอ่ยขึ้นเพื่อให้ทุกคนลืมๆเรื่องพวกนี้ไปก่อน ทั้งที่ในใจผมนั้นยังคงคิดถึงมันอยู่ตลอดเวลา…
ปีที่ 1 ตอนที่ 4
“ปิดค่าย”
พวกเรานั่งกินข้าวกันตามปกติ ซึ่งเป็นธรรมดาที่ต้องมีเศษอาหาร
เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาลอยๆว่า “ทำไมโรงเรียนนี้ไม่มีหมาเลยว่ะ”
ทุกคนเงียบและมองไปรอบๆโรงเรียน ซึ่งมันก็จริงอย่างที่เขาพูด
ไม่มีหมาเข้ามาในโรงเรียนนี้เลย พวกเราต้องรวมเศษอาหาร และเอาออกไปให้หมา ที่อยู่รอบนอกของโรงเรียน
ภายในใจผม ไม่เคยคิดจะลบหลู่เรื่องพวกนี้เลย ถึงแม้จะไม่เชื่อ100% ก็ตาม แต่ตอนนั้นอารมณ์ผมโมโหมาก
จึงได้ขออนุญาตกับพี่เอว่า “วันนี้ผมจะกลางเต็นท์นอนข้างนอกน่ะครับ” ซึ่งพี่เอก็ไม่ว่าอะไร
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ทุกคนในขณะนี้อาบน้ำและเตรียมตัวกันอยู่บนที่นอนเรียบร้อยแล้ว
ความสนุกสนานของเมื่อกลางวันหมดไป รอยยิ้มเริ่มน้อยลง เหลือแต่ความกลัว ที่บ่งบอกได้จากสายตาของหลายคนเท่านั้น
ผมกลางเต็นท์ที่บริเวณโรงอาหาร โดยมีเบนซ์ (คนที่ปลุกไม่ตื่นเมื่อคืน) มาขอนอนเป็นเพื่อน
ซึ่งตัวเบนซ์เองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้คล้ายๆผม
เมื่อความมืดเริ่มมาเยือน ทุกคนอยู่ในห้องนอนกันอย่างเงียบๆ เหลือเพียงผมกับเบนซ์ที่อยู่ด้านนอก
เราพยายามมองไปรอบๆบริเวณโรงเรียน เดินคุย เดินเล่นกันไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร
จึงตัดสินใจเข้าเต็นท์เพื่อพักผ่อน เก็บแรงสำหรับวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นวันปิดค่าย
ผมนอนคุยกันเรื่อยเปื่อย เรื่องโน้น นี่ นั้น จนดึก และเผลอหลับกันไปตอนไหนไม่รู้
รู้สึกตัวอีกที เป็นเวลาประมาณ ตี 4กว่าๆ จึงได้ลุกออกจากเต็นท์กัน
“คืนนี้สงบเงียบดีจังเลย” เบนซ์เอ่ยหลังจากออกมาจากเต็นท์
“ไปปลุกคนอื่นกันเถอะ” ผมเอ่ยต่อ พร้อมกับเดินไปทางห้องที่คนอื่นๆนอน
ทันทีที่ผมเปิดประตูห้อง ก็มีเสียงร้องตามมาจากในห้อง “เห้ย” เสียงเพื่อนคนหนึ่งที่นอนอยู่ในห้องร้องขึ้น
ผมเอื้อมมือเปิดสวิทไฟที่อยู่หน้าประตู พร้อมถามว่า “เป็นอะไรว่ะ” แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากใครเลย
ภาพที่ผมเห็นคือ เพื่อนผู้ชายคู่หนึ่ง ซึ่งเป็นคนแมนมากๆ นอนกอดกันแน่นเหมือนคู่รักที่พึ่งคบกันใหม่ๆ
ส่วนหลายๆคนนอนคดตัวคลุมโปง และมีบางคนนอนปิดตา
“เป็นอะไรกันว่ะเนี่ย”ผมเอ่ยถามอีกครั้งหลังจากมองสภาพในห้องครบ
“อ้าวแบงค์ กี่โมงแล้วนิ”เสียงพี่เอถามขึ้น ลักษณะเหมือนพึ่งตื่นนอน
“ตี 4 กว่าๆ ครับ”ผมตอบกลับพร้อมกับเดินเข้าไปในห้อง
ขณะนี้หลายคนเริ่มลุกขึ้นนั่ง โดยไม่มีอาการงัวเงียแต่อย่างใด แต่กลับมีท่าทีแปลกๆ เหมือนมองหาอะไรกันสักอย่าง
ผมจึงถามย้ำด้วยเสียงแข็งๆ ปนกับอารมณ์โมโหนิดๆว่า “เป็นอะไรกัน”
“เมื่อกี้เห็นไหม”เพื่อนคนหนึ่งที่นอนกอดกันหันมาถามผมด้วยน้ำเสียงที่สั่นๆ
“เห็นอะไร”ผมถามกลับด้วยความสงสัย
“ที่มุมห้อง ปลายตีนกูเนี่ย” เขาเอ่ยตอบกลับมา
“ไม่เห็นอะไรนิ”ผมตอบกลับไป
ทั้งห้องเงียบสงบอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นหลายคนก็เริ่มลุกเก็บของและเตรียมตัวอาบน้ำ
“สรุปมีอะไรว่ะ” ผมเดินเข้านั่งใกล้ๆ และถามเพื่อนคนนั้นด้วยความสงสัย
เมื่อเพื่อนคนนั้นเริ่มเล่า คนอื่นที่กำลังเก็บของและเตรียมตัวไปอาบน้ำก็หยุดนิ่ง และเดินมารวมกลุ่มกัน
เขาเล่าว่า… เมื่อคืน ขณะที่นอนกันอยู่ ช่วงหัวค่ำก็ไม่มีอะไร แต่พอเลยเที่ยงคืนไป ก็ได้ยินเสียงคนมาเดินอยู่ข้างนอก
ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าเป็นผมกับเบนซ์ แต่นอนฟังไป ฟังมา เสียงเดินกลับมาดังที่บริเวณหน้าต่าง ซึ่งมันเป็นทางที่เดินไปไม่ได้
จึงได้นอนทนฟังกันไป โดยไม่มีใครพูดอะไร ได้แต่นอนคด คลุมผ้ากัน และสบตากันบ้างบางที
จนเมื่อดังกล่าวเงียบหายไป ก็คิดว่าจะจบแล้ว แต่พอคิดได้ไม่นาน ก็กลับมีเสียงคนร้องครางเบาๆว่า “ฮือๆ ฮือๆ”
เสียงมันคล้ายเสียงผู้หญิงร้องไห้ ซึ่งดังมาจากปลายเท้าของเขา
เมื่อเขาได้ยินดังนั้นก็คิดในใจว่าเป็นเสียงเพื่อนในค่ายหรือป่าว แต่พอคิดย้ำอีกที ก็นึกออกว่า
คนในค่ายนอนอยู่ด้านบนหัว และ ด้านข้างซ้าย ขวา ของเขา แต่เสียงที่ได้ยินนั้น ดังมาจากที่ปลายเท้า ซึ่งเป็นกำแพงห้อง
เมื่อเขาคิดได้ดังนั้น ก็ยิ่งทำให้เขานอนคดตัวมากไปกว่าเดิมอีก โดยที่เขาก็คิดว่าเพื่อนคนอื่นคงหลับกันหมดแล้ว
จึงได้แต่นอนสวดมนต์ และพยายามข่มตาให้หลับ แต่ก็ไม่เป็นผล
ยิ่งเขาพยายามหลับมากเท่าไหร่ เสียงดังกล่าวก็ยิ่งเริ่มดังมากขึ้นเท่านั้น
และในช่วงแว๊บหนึ่ง ไม่รู้มีอะไรดลบันดานใจให้เขาเหลือบมองไปที่ตำแหน่งที่มาของเสียงนั้น
ภาพที่เขาเห็นคือมีเก้าอี้ไม้แบบที่มีที่พิงตัวหนึ่ง เหมือนที่ตามโรงเรียนใช้กันทั่วไป ตั้งหันหลังด้านที่พิงให้ผนัง
และหันหน้ามาทางเขา โดยที่มีร่างสีขาว นั่งอยู่บนเก้าอี้
เขาหลับตาทันที โดยที่ยังไม่แน่ใจว่า ร่างสีขาวนั้น เป็นอะไรกันแน่ ได้แต่คิดไปต่างๆนาๆ
เวลาผ่านไปพักหนึ่ง เสียงครางนั้นได้เงียบลง เขายังคงนอนเหงื่อท่วมอยู่ในผืนผ้าที่คลุมตัวเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
และเมื่อเขาเรียกสติตัวเองกลับมาได้ จึงตัดสินใจเหลือบตาดูไปยังตำแหน่งเดิมอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาพยายามมองให้ชัด เพื่อความแน่ใจว่าร่างสีขาวนั้น เป็นอะไรกันแน่
แต่สิ่งแรกที่เขาเห็นเมื่อจ้องมองไปอีกครั้งในครั้งนี้คือ ดวงตาสีแดง ที่จ้องมองมาที่เขา
เขาไม่คิดที่จะมองต่อ และครั้งนี้เขาเอื้อมมือไปกอดเพื่อนที่นอนข้างๆโดยไม่รู้ตัว
เพื่อนที่ถูกเขากอด หันหน้ามาหาเขา และเอ่ยเบาๆว่า “เห็นเหมือนกันใช่ไหม”
เขาไม่ตอบอะไรได้แต่พยักหน้ารัวๆ และทั้ง2คนก็กอดกันและกันอยู่อย่างนั้น จนกระทั้งผมเดินมาเปิดประตู
เพื่อนๆคนอื่นที่ยืนล้อมวงฟังอยู่นั้นก็พูดเสริมว่า พวกเขาก็ได้ยินเสียงคราง และบางคนก็ได้กลิ่นแป้งเด็ก
ซึ่งกลิ่นชัดมาก และพยายามคิดหลอกตัวเองไปว่านี่เป็นห้องอนุบาล ก็น่าจะมีกลิ่นแป้งเด็กเป็นธรรมดา
แต่ก็ไม่สามารถชนะความกลัวที่รู้สึกได้ในขณะนั้น
หลังจากที่พวกเราคุยกันสักพัก ก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ เตรียมตัวเก็บของเพื่อทำการปิดค่าย เพื่อจะได้เดินทางกลับบ้าน
ในขณะที่ผมกำลังอยู่ในห้องน้ำห้องที่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเปิดประตู และรู้ว่ามีคนเข้ามาในห้องน้ำห้องที่สาม
(ซึ่งในเวลานั้นเป็นที่รู้กันว่า จะไม่มีใครเขาห้องน้ำห้องที่สองเลย)
หลังจากนั้นไม่นาน เพื่อนที่เข้าห้องน้ำห้องที่สามก็ร้องกริ๊ดดังลั่น และวิ่งออกจากห้องน้ำทั้งทีทั้งที่ยังนั่งเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย
ผมใส่เสื้อผ้าเสร็จพอดี จึงออกมาจากห้องน้ำ โดยมีเพื่อนๆที่ยืนอยู่แถวนั้นก็มาปลอบเขา พร้อมกับถามว่า “เป็นอะไร”
เมื่อเขาได้สติ ก็เล่าให้ฟังว่า ขณะที่กำลังถอดเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงผู้ชาย
ดังมาจากทางด้านหลังห้องน้ำ ตะโกนมาลอยๆเข้ามาว่า “มาทำอะไร!!!”
เมื่อผมได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกโมโหมาก เพราะตัวผมเองไม่ได้สัมผัส แต่คนรอบตัวนั้นต้องมาเจอ มาหวาดกลัวกับเรื่องที่อธิบายไม่ได้ และไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร ผมจึงตะโกนลอยๆไปด้วยความโมโหว่า “จะอะไรกันนักหนา จะเอาอะไร ต้องการอะไรก็บอกมา มาหลอก มาแกล้ง กันแบบนี้ จะสื่ออะไร พวกผมมาทำดี มาทำประโยชน์ให้ชุมชน ให้โรงเรียน พวกผมทำผิดอะไรก็บอกมา!!!”
นั้นเป็นสิ่งที่ผมทำได้ในตอนนั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้ว
เมื่อถึงเวลาที่นักเรียนเริ่มเดินทางมาโรงเรียน กิจกรรมต่างๆที่เตรียมไว้ก็เริ่มขึ้น
การจัดกิจกรรมช่วงเช้าเพื่อเตรียมปิดค่ายเริ่มขึ้น และจบลงในช่วงก่อนเที่ยงวัน
ค่ายอาสาปิดลงไปด้วยดีในเรื่องของเป้าหมาย และ วัตถุประสงค์ของการจัดค่าย
แต่สำหรับพวกเราหลายคนแล้ว ค่ายอาสาครั้งนี้ ยังคงมีเรื่องที่เราค้างคาใจ และ ต้องการอยากรู้อะไรอีกมากมาย
เราได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ครูที่โรงเรียนฟัง ซึ่งเขาก็ได้แค่รับฟัง แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรมากมายนัก
พวกเราเก็บของและยกไปรวมกันไว้ที่สถานีรถไฟเพื่อเตรียมกลับบ้าน
และเดินกลับกันไปจุดธูปไหว้เจ้าที่เจ้าทาง และขอขมา ที่หากได้ทำอะไรล่วงเกินหรือผิดพลาดไป
ครู นักเรียน ต่างพากันมาส่งพวกเราที่สถานีรถไฟ และ จากกันด้วยรอยยิ้มและคำสัญญาที่ว่า “เราจะมาพบกันใหม่”
ตลอดการเดินทางกลับบ้านของพวกเรา หลายคนพูดคุยกันเรื่องที่พวกเราได้สัมผัส และพยายามวิเคราะห์ไปต่างๆนาๆ
และหลายคนที่นั่งหวนคิด และยังคงหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา
การเดินทางของพวกเราผ่านไปโดยสวัสดิภาพ โดยที่ทุกคนลงที่สถานนีดอนเมืองในช่วงหัวค่ำ และแยกย้ายกันเดินทางกลับบ้าน
ผมนั่งรถเมล์กลับบ้านโดยที่ในใจยังคงคิดถึงเหตุการณ์ที่ได้สัมผัสตลอดทาง
จนเมื่อเดินทางถึงบ้าน ผมแบกกระเป๋าและเต็นท์วางลงในบ้าน คำแรกที่แม่ผมทักผมคือ “แบงค์มากับใครหรอ”
ผมกระโดดลงนั่งที่โซฟาทันที โดยที่ขนลุก และสายตามองไปรอบตัว
“คนเดียวแม่ ทำไมหรอ”ผมถามแม่กลับทันทีที่ตั้งสติได้
“อ๋อ ไม่มีอะไร แม่ก็แค่รู้สึกเหมือนมีคนมากับแบงค์” แม่ผมเอ่ยขณะที่ทำกับข้าวที่ทำอยู่ต่อไป
รุ่งเช้าผมเดินทางไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อเรียนหนังสือตามปกติ
เมื่อเจอเบนซ์ที่มหาลัย เขาก็เล่าเรื่องประหลาดให้ผมฟังก่อนที่ผมจะเล่าเรื่องของผม
เขาบอกว่า เมื่อวานพอลงจากรถไฟก็นั่งรถเมล์ไปลงที่ป้ายรถเมล์แถวบ้านและนั่งวินมอไซค์ต่อเข้าบ้านตามปกติ
เมื่อมอไซค์จอดหน้าบ้านเขา เขาก็ยื่นแบงค์20 ให้วินตามปกติ
แต่ครั้งนี้วินมองหน้าเขา และบอกว่า 30
เขานิ่งสักพักหนึ่ง และบอกวินไปว่า เคยนั่งมาประจำมัน 20 นิ
แต่วินบอกเขาว่า ก็เด็กคนนั้นไง พี่คิด10 บาท
เมื่อเบนซ์ได้ยินเช่นนั้นเขาก็เลยไม่พูดอะไร และแบกของเดินเข้าบ้านทันที
เมื่อผมได้ยินเรื่องของเบนซ์ ผมจึงได้เล่าเรื่องของผมให้เพื่อนๆฟังบ้าง
ในตอนนั้นพวกเราพยายามนั่งวิเคราะห์กันว่า พวกเราคิดไปเองหรือไม่
สภาพจิตใจของพวกเราตอนนั้น ต้องยอมรับเลยว่า ไม่ปกติ
หลายคนมักรู้สึกว่ามีคนมอง และคนเดินตาม
พวกเรายอมรับกันอย่างตรงไปตรงมาว่า พวกเราอาบน้ำ สระผมได้โดยไม่หลับตา และหลังพิงฝาผนังขณะอาบน้ำเสมอ
พวกเราพากันไปทำบุญอุทิศส่วนกุศล ถวายสังฆทาน ซึ่งบางคนถึงกับพากันไปรดน้ำมนต์เลยก็มี
วันเวลาผ่านไป จากวัน เป็นสัปดาห์ จากกสัปดาห์ เป็นเดือน
จากความกลัว กลายเป็นเรื่องเล่า จากเรื่องเล่า กลายเป็นเรื่องตลก ที่มักจะนำมาพูดกันในวงเหล้าเท่านั้น
สำหรับคนอื่นที่ไม่ได้ไปสัมผัส มักชอบให้พวกเราเล่าให้ฟัง เพราะพวกเขารู้สึกสนุกเหมือนกำลังฟังเรื่องเล่าผีสนุกๆเรื่องหนึ่ง
แต่สำหรับพวกเราหลายคนที่ได้ไปสัมผัสนั้น พวกเขาพยายามที่จะไม่พูดหรือนึกถึงมัน และพยายามจะลืมมันไปเลยด้วยซ้ำ
มีเพียงผมและเพื่อนอีกจำนวนหนึ่งเท่านั้น ที่ยังคงเก็บความสงสัยที่ยังไม่ได้คำตอบจากสถานที่แห่งนี้
พวกเรายังคงไม่เข้าใจหลายๆอย่าง และยังคาใจในหลายๆสิ่ง
แต่พวกเราก็ต้องพยายามยอมทิ้งเรื่องความสงสัยเหล่านั้นไปชั่วคราวก่อน เพื่อที่จะกลับมาใช้ชีวิตในรั่วมหาวิทยาลัยตามปกติ
โดยที่ในใจก็รู้อยู่แล้วว่า ไม่วันใดก็วันหนึ่ง พวกเราจะต้องทำตามคำสัญญาที่มีไว้กับครู และ นักเรียนที่นั้น
สัญญาที่เราจะไม่มีวันลืม ที่เราได้เอ่ยไว้กับพวกเขาว่า “เราจะกลับไป เพื่อพบกันใหม่อีกครั้ง…”