การวัดคลื่นสมองในปี 1940
ในปี 1940 การวัดคลื่นสมองเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจและพัฒนาอย่างมาก โดยเฉพาะการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า อิเล็กโทรเอนเซฟาโลกราฟ (EEG) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถวัดกิจกรรมไฟฟ้าในสมองได้ เครื่องมือนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดย ฮันส์ เบอร์เกอร์ (Hans Berger) ในช่วงทศวรรษ 1920 แต่ได้รับการยอมรับและนำไปใช้ในทางคลินิกและการทดลองอย่างกว้างขวางในช่วงทศวรรษ 1930 และ 1940
EEG ทำงานโดยการติดเซ็นเซอร์บนหนังศีรษะของบุคคล ซึ่งจะบันทึกความถี่และการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมอง ข้อมูลที่ได้จะถูกแสดงออกมาในรูปแบบกราฟที่เรียกว่า อิเล็กโทรเอนเซฟาโลแกรม (electroencephalogram) เทคโนโลยีนี้มีความสำคัญในการวินิจฉัยโรคทางระบบประสาทหลายชนิด เช่น โรคลมชัก, โรคนอนหลับผิดปกติ, และเนื้องอกในสมอง
ในช่วงปี 1940 นักวิจัยได้เริ่มสำรวจการประยุกต์ใช้ EEG ในทั้งบริบททางคลินิกและการทดลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอังกฤษ ที่มีการทำงานที่สำคัญ ณ สถาบันต่าง ๆ เช่น Burden Neurological Institute ซึ่งนักวิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับกิจกรรมสมองของผู้ที่มีความผิดปกติทางจิต การทำงานของ EEG ได้ช่วยให้เราเข้าใจสมองว่าเป็น "เครื่องจักรไฟฟ้า" ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในยุคนั้น
ในช่วงเวลานี้ E.A. Bevers ได้พัฒนาเครื่องมือทดลองที่เรียกว่า Encephalophone ซึ่งเป็นการรวมกันระหว่างหลักการของ EEG กับการสร้างเสียง เครื่องมือนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคทางระบบประสาทโดยการแปลคลื่นสมองให้เป็นเสียง Encephalophone เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการนำเทคโนโลยี EEG ไปประยุกต์ใช้ในด้านอื่น ๆ นอกเหนือจากการวินิจฉัยทางการแพทย์