วันที่ความรักอยู่เหนือไสยศาสตร์...ฉันคบกับแฟนที่เป็นวิญญาณมา 5 ปีแล้ว!!
ดีค่ะชื่อฝน อายุ 30 ปี ตอนนี้ฝนทำงานอยู่แถวสาธร ก็เป็นพนักงานบริษัททั่วๆไปของบริษัตต่างชาติ เรื่องที่ฝนจะมาเล่าวันนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวฝนเองทุกประการ ตัดสินใจนานมากว่าจะมาแชร์ให้เพื่อนๆในพันทิปดีมั้ย นี่เป็นกระทู้แรกเลยค่ะ ปกติแอบอ่านอยู่เงียบๆแต่พอรวบรวมความกล้าได้ก็ยืมล็อกอินเพื่อนมาโพส ผิดผลาดยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ
เริ่มเลยดีกว่าเนอะ เห็นหัวข้อแล้ว ก็อย่างที่ทุกคนเดาๆ กันค่ะ ฝนมีแฟนแล้ว แต่แฟนของฝนไม่มีร่างกายอยู่แล้วค่ะ ตอนนี้เราก็ใช้ชีวิตคู่ปกติทั่วไป ไม่รู้ว่าฝนคิดไปเองรึป่าว แต่ฝนก็รู้สึกจริงๆว่าเค้ายังอยู่กับฝนตลอดเวลา ไม่ว่าจะกินจะนอนหรือไปที่ไหน เค้าไปกับฝนตลอด ครอบครัวฝนก็รู้ค่ะแล้วทุกคนก็ยินดี ฟังดูแปลกนะคะ แต่มันเป็นเรื่องจริงค่ะ
ฝนกับนพคบกันตั้งแต่สมัยอยู่ปี 1 ที่มหาลัยในเมืองแห่งหนึ่ง เราสองคนเริ่มคบกันตั้งแต่งานรับน้อง ด้วยความใกล้ชิดที่ได้ทำกิจกรรมด้วยกัน ฝนจะโดนแกล้งเป็นประจำเพราะฝนเป็นคนตัวเล็ก ขาวๆ หมวยๆ ตาไม่ค่อยมี พวกรุ่นพี่กับเพื่อนๆ ก็เลยพากันแกล้งประจำ แถมฝนก็ไม่ค่อยสู้คนก็เลยใครจะแกล้งอะไร เราก็เอ็นจอยไปซะทุกอย่างค่ะ แต่ก็มีแค่นพค่ะที่ไม่เคยแกล้งฝนมีแต่ดูแลฝน เอาน้ำมาให้ พาไปกินของอร่อย แล้วก็ไปส่งที่รถไฟฟ้าทุกวัน เวลาฝนโดนแกล้งให้เปียกเค้าก็จะเอาเสื้อคลุมมาคลุมให้ฝนบ่อยๆ จนกระทั่งฝนรู้ว่าเค้าต้องคิดกับฝนมากกว่าเพื่อนก็เลยลองถามไปตรงๆ เพราะฝนเขินมาก เก็บไม่ไหว สรุปวันนั้นใต้สะพานลอยหน้าร้านป้าขายน้ำ เราสองคนก็เลยเป็นแฟนกันค่ะ
นพไม่เคยห่างจากฝนเลย แม้ว่าเค้าจะต้องไปเล่นบอลทุกเย็นกับเพื่อน แต่หลังจากนั้นนพก็จะโทรหาฝนตลอด เพราะบางครั้งฝนก็ทำแลปดึก นพก็จะเตะบอลรอ ไม่ก็มาอยู่เป็นเพื่อนฝนในห้องแลปตลอด คอยซื้อข้าวซื้อน้ำมาให้ จนบางทีฝนก็แอบแปลกใจว่าทำไมเค้าถึงได้ต้องทำดีกับฝนมากขนาดนี้ ตอนมัธยมก็มีแฟนบ้าง แต่ไม่เห็นจะมีใครดูแลฝนแบบนี้เลย
เราคบกันในสายตาของพ่อแม่ตลอด ที่บ้านฝนก็โอเคกับนพนะคะ แม่ว่าฐานะของเราจะต่างกันก็ตาม พ่อแม่ก็ยังไว้ใจให้นพพาไปไหนต่อไหนได้กันสองคน แล้วบางทีแม่ก็จะชวนนพไปเที่ยวและทานข้าวด้วยกันประจำเหมือนว่าเป้นครอบครัวเดียวกัน
จนกระทั่งมาถึงปีที่สองที่เราคบกัน เราไประยองด้วยกัน คืนนั้นเราสองคนเดินเลียบชายหาด จับมือกันเหมือนคู่รักทั่วไป แล้วก็ได้นั่งเล่นกันบนชายหาดูดาวกันบนฟ้า ดาวเป็นเยอะมากเลยเพราะวันนั้นเป็นคืนเดือนมืดและมีแค่เราสองคนอยู่ตรงนั้น
จู่ๆ นพก็พูดขึ้นมาว่า “ฝนเรารู้สึกแปลกๆ เรารู้ว่าทำไมยิ่งอยู่กับฝน เราก็ยิ่งไม่อยากไปไหนไกลๆ อยากอยู่กับฝนตลอด อยากตามฝนไปทุกที่ อยากให้เราอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป” ตอนนั้นฝนรู้สึกชา ซึ้งก็ซึ้งแต่พูดอะไรไม่ออกเพราะน้ำเสียงของเขาดูจริงจังมาก ปกตินพก็ไม่ใช่คนที่จะพูดจาแบบนี้ แล้วอะไรบางอย่างก็ทำให้ฝนแปลกๆ ขนลุกเกรียวเมื่อเขาพูดต่อ “ฝนสัญญากับนพได้มั้ย ว่าฝนจะไม่มีใคร จะมีแต่นพคนเดียว”
“พูดอะไรเนี่ย บ้าหรอนพ เราไม่ได้เลิกกันซักหน่อยนะ บรรยากาศดีๆ พูดซะเสียหมดเลย” จริงๆ ที่เราพูดไปอย่างนั้น ไม่ใช่ไม่รักเขา แต่เราแค่รู้สึกว่ามันแปลกๆ เหมือนมันไม่ใช่เค้าเลย แววตาดูลอยๆ แปลกๆ
“สัญญามาสิฝน” นพย้ำและคว้ามือเราไปกุม แต่แรงบีบนั้นทำให้เราตกใจ
“แน่นอนอยู่แล้ว” เราพูดปนตลก แต่ในก็รู้สึกไม่ค่อยโอเคเพราะเพิ่งรู้จักกันมาแค่ปีกว่าเอง ฝนก็แอบคิดว่ามันเร็วเกินไปรึป่าวที่จะมาสัญญาอะไรจริงจังแบบนั้น ตอนนั้นก็อยู่แค่ปี 2 เอง
“สัญญาจริงๆ นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นพจะไม่มีวันแยกจากฝนและฝนจะไม่มีวันแยกจากนพ”
ฝนยังไม่ทันพูดอะไรต่อเลย นพก็จูบฝนแล้ว นี่คือจูบแรกของเราพร้อมคำสัญญาแรกๆ ที่เขาอยากให้ฝนสัญญา คืนนั้นเราเกือบจะมีอะไรกันเพราะอารมณ์พาไป ฝนเองก็ยินยอมค่ะ แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะว่าระหว่างเรากำลังมีอะไรกัน ฝนสังเกตใบหน้าของนพ.... ซึ่งไม่ใช่นพ!
มันแปลกมากๆ หน้าของเขาคล้ำๆ อย่างบอกไม่ถูก แววตาก็ดูแข็งกร้าว เหมือนมันไม่ใช่ตัวเค้าเลย แล้วอะไรบางอย่างก็ทำให้เรารู้สึกอยากร้องไห้ออกมา ตอนนั้นพูดตรงๆ กลัวมาก แม้จะรู้ว่าเป็นเค้า แม้จะคิดบอกว่าไฟสลัวมองไม่ชัด แต่เราก็รู้สึกขนหัวลุกแล้วก็ร้องไห้ออกมา แต่พอนพเห็นเราร้องไห้ เค้าก็หยุดค่ะ แล้วก็มาปลอบและขอโทษเรา แล้วก็บอกว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกถ้าเราไม่พร้อม
ตอนนั้นกอดกันแน่น ไม่ใช่เราไม่อยาก แต่เราทำไม่ได้จริงๆ เรากลัว ไม่รู้ว่ากลัวอะไร กลัวเค้าก็คงไม่ใช่เพราะเราก็คุ้นเคยกันมาก แต่ถ้าจะพูดให้ถูกจริงๆ เรารู้สึกว่าคืนนั้นมันไม่ใช่...นพ
หลังจากคืนนั้นเราก็ไม่เคยไปต่างจังหวัดด้วยกันสองต่อสองอีกเลย นพไปคอนโดเราซะส่วนใหญ่ เราสองคนก็ใช้เวลากันด้วยกันตรงนั้น แต่ไม่เคยมีอะไรกันเพราะนพให้เกียรติเรามาก เรารู้สึกโชคดีจริงๆ ที่ได้เค้าเป็นแฟน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มแสดงพฤติกรรมที่เรารับไม่ได้ เช่นแอบเช็คมือถือ ไม่ยอมให้ทำแลปดึกเกินไป เพราะเดี๋ยวนี้นพเองก็ต้องเข้าชอป เค้าไม่มีเวลามานั่งเฝ้าเราเหมือนช่วงปีหนึ่ง เขาเองก็ยุ่งกับการเรียน เราเข้าใจเพราะยังไงทุกเย็นเราก็เจอกัน แต่นพไม่เคยให้เราออกไปไหนเลย แม้จะไปกินข้าวกับสายรหัสที่มีแต่ผู้หญิงก็ตาม ไปไหนต้องรายงานตลอด บางครั้งก็มาแอบดักเจอทำเหมือนบังเอิญแต่เรารู้ว่าเค้าพยายามจะตามมา เช็คแม้กระทั่งเฟสบุ้ค ว่าเราไปเม้นใคร กดไลค์ใคร บังคับให้เราให้พาสเวิดทุกอย่าง จนเรารู้สึกอึดอัด เรามีปากเสียงกันมากขึ้นเพราะคิดว่านพแปลกไป ไม่เคยให้อิสระเราเลย จะให้เราไปไหนต่อไหนด้วยตลอดก็คงไปเป็นไปได้ยากแล้ว เรียนหนักขึ้น สังคมก็ไม่เหมือนเพื่อนคนละกลุ่ม เราก็อยากมีเวลาไปทำอะไรส่วนตัวบ้าง เราทะเลาะกันบ่อยเกือบทุกวัน แต่นพก็ยืนยันว่าทุกอย่างที่ทำไปเพราะว่ารักมาก…
จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่เราอยู่แลปดึก เราเห็นมิสคอของนพโทรเข้ามา 40 กว่าสาย ซึ่งแม่เราพ่อเรายังไม่ทำขนาดนี้เลย โทรศัพท์ก็สั่นไปเรื่อยๆ แต่เรากลับไม่อยากจะแตะต้องมันอีก ระหว่างนั้นเองรุ่นพี่ข้างๆ ที่ทำแลปด้วยกันชื่อ “พี่ที” ก็ทักเรา
“น้องฝน ทำไมไม่รับโทรศัพท์ล่ะ สั่นจนบิกเกอร์พี่จะเลื่อนไปตกขอบโต้ะแล้ว” เราจึงได้สติ ระหว่างที่กำลังกลุ้มใจกับเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ
“ขอโทษค่ะ ฝนปิดสั่นไม่เป็น” เราเป็นคนโลเทคจริงๆ
“มานี่พี่ทำให้” เรายื่นโทรศัพท์ให้พี่เค้า แต่ตอนนั้นไม่มีพาสเวิดแล้วเพราะนพให้เอาออก พี่ทีกดๆ แล้วก็ยื่นคืนมาให้เรา พร้อมกับยิ้มๆ เรารับมือถือมาดู ก็เห็นเลข 9 หลักบนหน้าจอด้วย เราเลยมองหน้าพี่เค้าอย่างงงๆ
“มีอะไรก็โทรมา ไม่สดใสเหมือนก่อนเลยนะเรา” เราตกใจมาก แต่ก็ขอบคุณเค้าไป หลังจากนั้นก็กลายเป็นเราที่แอบมองเค้าอย่างเงียบๆ แล้วก็เพิ่งจะรู้ว่าพี่ทีมักจะมาเข้าทำแลปเวลาเดียวกับเราตลอด
พี่ทีเป็นร่นพี่ปี4 ที่หน้าตาค่อนข้างดีแต่ดูเหมือนไม่ค่อยสนใจอะไรเลยนอกจากงาน ทุกครั้งที่เข้ามาในแลปพี่เค้ามักจะง่วนทำอะไรบางอย่าง แต่หลังๆ มานี้เราสบตากันบ่อยขึ้น
จนกระทั่งวันนั้นพีทีชวนเราไปกินข้าวหลังทำแลป บังเอิญว่าเป็นวันที่นพไปขึ้นค่ายที่ต่างจังหวัด เราเลยตอบตกลงไป เพราะเราคิดว่าคงไม่มีอะไร ก็แค่กินข้าวกัน ตอนนั้นหิวมากเลย
พี่ทีพาเราไปที่จอดรถของคณะ เราเพิ่งรู้ว่าพี่ทีขับบีเอ็ม ด้วยความเราก็ชอบรถอยู่แล้วก็เลยตื่นเต้นมาก ระหว่างที่นั่งในรถ เราสองคนก็คุยไปกันเรื่อยเปื่อย เรื่องคณะ เรื่องฝึกงาน แล้วก็จิปาถะ สุดท้ายก็ตกมาที่เรื่องนพ เพราะพี่ทีถามว่าทำไมแฟนไม่ค่อยมาแลปเลย เราก็ตอบไปตามตรงว่าต่างคนต่างยุ่งเวลาไม่ตรงกันแล้วก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ให้ช่องว่างระหว่างกัน ประโยคนั้นเราต้องโกหกเพราะไม่อยากให้ใครมองนพไม่ดี แต่พี่ทีก็หัวเราะหึๆ แล้วก็เอามือมาวางบนหัวเรา แล้วบอกว่า “ไม่ต้องโกหกก็ได้ พี่รู้ว่าเรามีปัญหา เราดูไม่สดใสเหมือนกันเลย” เราหันไปมองหน้าพี่ทีอย่างเหวอๆ ทำตัวไม่ถูกเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผู้ชายคนอื่นแตะตัวเราเลยหวิวๆ
พี่ทีลูบหัวเราเบาๆ แล้วบอกว่า “ไม่ต้องเก็บหรอก พูดมาเหอะ พี่เป็นห่วง” ประโยคสั้นๆนั้น คือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกเปลี่ยนไปทันที
เราเริ่มเล่าเรื่องของนพให้พี่ทีฟัง ไม่รู้ว่าทำไมรู้สึกไว้ใจเค้ามาก พี่ทีให้คำปรึกษาทุกอย่างและบอกให้เราใจเย็นๆ หลังจากนั้นเราก็เริ่มทำตัวแบบที่พี่ทีบอก ไม่นอย ไม่ขัดใจ นพก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ใจเรามันไม่เหมือนเดิมแล้ว
เราตื่นเต้นทุกครั้งที่ที่จะได้เจอพี่ทีที่แลป รู้สึกว่าพี่เค้าพูดอะไรก้จริงไปหมด ถูกไปหมด แม้ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องความรัก พี่ทีก็ให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่อง เราเลยคิดไปว่าเราคงแอบปลื้มเค้า ไม่มีอะไรมาก
จนกระทั่งเราเทอมต่อมา เราก็สนิทกับพี่ทีเรื่อยๆ ไปที่ห้องพี่เค้าให้ช่วยติวบางวิชา แล้วก็มีวันนึง เราก็พลาดจนได้ เรามีอะไรกับพี่ทีอย่างเต็มใจและ ไม่รู้สึกผิดต่อนพ ไม่กลัวเหมือนตอนที่จะมีอะไรกับนพ แล้วพี่ทีก็สารภาพว่าแอบชอบเรามานานแล้ว แต่เห้นมีแฟนเลยไม่ได้เข้ามาจีบ แต่พอได้มาใกล้ชิดกันก็อดใจไม่ไหว เราผิดเองแหละที่ไม่ห้ามใจ
เรากับพี่ทีเริ่มไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ โดยที่นพไม่รู้สึกเอะใจเลย เพราะเราทำตามคำแนะนำของพี่ที ตอนนั้นใจมันไปหมดแล้ว ก็คิดว่ารอเวลาอีกสักหน่อย เราก็บอกเลิกนพแหละ แต่ไวกว่าที่คิด จนสุดท้ายนพก็จับได้ว่าเราแอบคบพี่ที วันนั้นนพนกเอะใจอะไรไม่รู้เลยมาดักรอเราที่หน้าห้องแลป พอเห็นว่าเรากับพี่นพเดินจูงมือกันออกมาเท่านั้นแหละ นพก็โมโหแลัวก็เข้ามาผลักพี่ทีหงายหลังไปเลย นพพยายามจะลากเราให้ไปด้วยกัน บอกให้กลับบ้านๆแต่เราไม่ยอม เราพยายามสบัดนพให้หลุดแต่ก็แทบจะสู้แรงไม่ได้เลย พี่ทีเห็นอย่างนั้นก็เข้ามาชกนพเข้าอย่างจัง นพทำท่าจะต่อยพี่ทีกลับแต่เราไม่ไหวแล้ว เราเอาตัวเข้าแทรกระหว่างนพกับพี่ทีกันไม่ให้นพชกพี่ที ในตอนนั้นสีหน้าของนพทั้งเดือดดาลทั้งเสียใจ เราเดินหนีนพไปกับพี่ทีอย่างไม่หันกลับมามองอีก นพตะโกนขู่ไล่หลังมาว่าจะฆ่าเราแล้วก็ฆ่าตัวตายตามถ้าเราไปกับพี่ที แต่ถึงตอนนั้น...ไม่มีอะไรที่นพพูดออกมาที่จะหยุดเราได้แล้ว
เรากลัวมากเลยบอกครอบครัว แม่เราเลยให้ย้ายกลับมาอยู่บ้านแล้วก็ปรึกษากับเพื่อนพ่อที่เป็นตำรวจ
แล้ววันต่อมา ระหว่างที่เราจะเข้าไปเก็บของที่คอนโด เราเปิดประตูเข้าก็ได้กลิ่นแปลกๆ แต่สิ่งที่ทำให้เราล้มทั้งยืนก็คือร่างของนพที่แขวนอยู่กับพัดลมเพดานซึ่งอยู่เหนือเตียงนอน
ร่างของนพที่ขึ้นอืดเหมือนคุ้งไปทั้งห้อง มีน้ำเหลืองไหลออกมาอย่างสยดสยอง!!!!!
แต่เราก็ทนดูอยู่ได้ไม่นาน เราวิ่งออกมาสติแตกร้องลั่นไปทั้งตึกคอนโดจนมีคนเปิดประตูออกมาดูเต็มไปหมด กว่าเราจะตั้งสติได้ก็มีคนโทรเรียกตำรวจกับรถพยาบาลให้แล้ว ไม่นานนักตำรวจก็มา เราร้องไห้อกแทบแตก ตอนนั้นรู้เลยว่าใจจะขาดมันเป็นยังไง เราไม่ได้อยากให้นพทำแบบนี้ ทั้งรู้สึกผิด ทั้งเสียใจจนพูดอะไรไม่ได้ คิดโทษตัวเองแล้วก็ร้องไห้อย่างนี้เรื่อยๆ
จนกระทั่งเจ้าหน้าที่หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้เราอ่าน เขาบอกว่ากระดาษแผ่นนี้อยู่ยัดในปากของนพ…
มีข้อความว่า … ...ม.รึ.ง.เป็นของกู...