OpenAI และ Microsoft ถูกฟ้องข้อหา ChatGPT เป็นต้นเหตุของการฆาตกรรม-ฆ่าตัวตาย

OpenAI และ Microsoft ถูกฟ้องข้อหา ChatGPT เป็นต้นเหตุของการฆาตกรรม-ฆ่าตัวตาย

ถึงแม้เครื่องมือ AI (Artificial Intelligence หรือ ปัญญาประดิษฐ์) อย่าง ChatGPT จาก OpenAI จะเป็นที่นิยมอย่างมากเนื่องจากสามารถทำงานได้หลากหลาย และตอบปัญหาได้มากมาย แต่ก็มักจะตกเป็นผู้ต้องหาในหลากหลายคดีที่เกี่ยวข้องกับเยาวชน หรือ การทำอันตรายกับผู้คนจากคำแนะนำแบบผิด ๆ อย่างสม่ำเสมอ ในบางครั้งเรื่องก็ไปถึงศาลเลยทีเดียว เช่นข่าวนี้

จากรายงานโดยเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสำนักข่าว ABC แห่งประเทศออสเตรเลีย ได้ทำการกล่าวถึงกรณีการฟ้องร้องบริษัท OpenAI และ ไมโครซอฟท์ โดยทายาทของนาง Suzanne Adams ที่ถูกอดีตพนักงานสายเทค นาย Stein-Erik Soelberg ซึ่งเป็นลูกของตนเองทำการฆาตกรรมด้วยการทุบตี และรัดคอจนเสียชีวิตแล้วทำอัตวินิบาตกรรมตนเองในเวลาเดียวกัน ซึ่งในการฟ้องร้องนั้นทางฝ่ายโจทก์ได้กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ ChatGPT ซึ่งเป็นเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (AI หรือ Artificial Intelligence) ประเภทแชทบอท (Chat Bot) ได้ทำการยุยงส่งเสริมให้ผู้ใช้งานที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพจิตก่อเหตุสลดดังกล่าว โดยคดีดังกล่าวนั้นเป็นหนึ่งในคดีการฟ้องร้องบริษัทผู้พัฒนา AI จำนวนมากในสหรัฐอเมริกาว่า ตัว AI เป็นต้นเหตุที่นำพาผู้ใช้งานไปสู่ความตายที่ผิดธรรมชาติ

ฝ่ายโจทก์ยังได้ทำการกล่าวหาทาง OpenAI ต่อว่า ทางบริษัทได้ทำการออกแบบและแจกจ่ายสินค้าที่มีข้อบกพร่องที่มีความสามารถในการตอกย้ำความหวาดระแวงของเหยื่อที่มีต่อแม่ตนเอง ซึ่งจากการประมวลบทสนทนาที่เกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทสรุปได้ว่า ผลิตภัณฑ์ของทางบริษัทได้พยายามบอกเหยื่อว่า ตัวเหยื่อไม่สามารถเชื่อใจใครได้นอกจาก ChatGPT เท่านั้น ซึ่งนำไปสู่การสร้างสภาวะจิตใจที่ต้องพึ่งพา AI ตลอดเวลาขณะที่มองบุคคลรอบข้างทุกคนเป็นศัตรู โดยตัว ChatGPT ได้บอกกล่าวกับเหยื่อว่า บุคคลรอบข้างตั้งแต่พนักงานส่งของ, พนักงานร้านขายของ, เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ แม้กระทั่งเพื่อนฝูงของเหยื่อนั้น เป็นสายลับที่คอยจับตามองเหยื่ออยู่ แม้กระทั่งชื่อที่อยู่บนกระป๋องน้ำอัดลมก็เป็นชื่อของบุคคลอันตรายจากกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดี และแม่ของเหยื่อนั้นกำลังแอบสอดแนมเหยื่ออยู่ ทุกอย่างนำไปสู่ความหวาดระแวงถึงขีดสุดจนทำให้เหยื่อก่อเหตุดังกล่าว

ในทางฝั่งจำเลยอย่าง OpenAI นั้นก็ไม่ได้ออกมากล่าวถึงประเด็นที่ถูกกล่าวหาโดยตรงแต่อย่างใด เพียงแค่แสดงความเห็นใจกับครอบครัวของโจทก์ว่า ทางบริษัทมีความรู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก และจะขอทำการศึกษาข้อกล่าวหาทั้งหมดที่ถูกฟ้องมาเพื่อเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นโดยละเอียดเสียก่อน นอกจากนั้นทางบริษัทยังได้กล่าวอีกว่า ทางบริษัทเองก็ได้มีการขยายส่วนของหน่วยงานสำหรับการช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในความเสี่ยงอย่างมาก เช่น การเพิ่มช่องทางให้ในการเข้าถึงการติดต่อขอความช่วยเหลือแบบสายด่วน (Hotlines), การเข้าถึงข้อมูลสำหรับการช่วยเหลือในภาวะวิกฤติ, การเปลี่ยนโหมดการใช้งานของบทสนทนาในประเด็นอ่อนไหวไปเป็นโหมดปลอดภัย (Safe Mode), รวมไปถึงเครื่องมือสำหรับผู้ปกครองในการช่วยกำกับดูแลการใช้งานของบุตรหลาน

สำหรับในส่วนของเหยื่อซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุอย่างนาย Soelberg ดังกล่าวนั้น ในการสืบสวนพบว่าบนบัญชี Yourube ของเขานั้นมีคลิปวิดีโอบันทึกการสนทนากับ ChatGPT ที่มีความยาวมาก ซึ่งเนื้อหาที่ชายผู้นี้ทำการสนทนากับแชทบอทนั้น ตัวแชทบอทได้กว่าว่าผู้ก่อเหตุนั้นไม่ได้มีความผิดปกติทางจิต รวมทั้งยืนยันความหวาดระแวงของเหยื่อว่าผู้คนรอบข้างนั้นจ้องจะทำร้ายเขาจริง ๆ อีกทั้งยังยกยอผู้ก่อเหตุอย่างเกินจริงโดยกล่าวว่า ผู้ก่อเหตุเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โดยทางทนายของโจทก์นั้นกล่าวว่า ตัว ChatGPT นอกจากจะทำการยกยอและให้คำแนะนำผิด ๆ จนผู้ใช้งานหลงผิดแล้ว ตัวแชทบอทยังไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะแนะนำให้เหยื่อรายดังกล่าวไปพบเพื่อขอคำปรึกษาจากจิตแพทย์

นอกจากนั้นทางทนายของโจทก์ ยังได้ทำการกล่าวหากรรมการผู้จัดการใหญ่ (CEO หรือ Chief Executive Officer) คุณ Sam Altman ว่า ละเลยด้านมาตรฐานด้านความปลอดภัยเพื่อที่จะปล่อยผลิตภัณฑ์ที่บกพร่องให้กับผู้ใช้งานได้ใช้ไวขึ้น รวมทั้งกล่าวหาทางไมโครซอฟท์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหลักและคู่ค้าสำคัญของทาง OpenAI ว่าเป็นผู้อนุมัติให้มีการปล่อยเวอร์ชันสุดอันตรายของ ChatGPT ให้กับผู้ใช้งานทั่วไปได้ใช้ ถึงแม้จะเห็นผลลัพธ์ในเชิงลบจากการทดสอบใช้งานก็ตาม

ทางไมโครซอฟท์ไม่ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อกล่าวหาในการฟ้องร้องครั้งนี้แต่ประการใด สำหรับทางโจทก์นั้น ได้ยืนยันว่าจะดำเนินการฟ้องร้องบริษัททั้งสองให้ถึงที่สุด เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าเสียหายและการปรับปรุง ChatGPT ให้มีความปลอดภัยเพื่อป้องกันเรื่องน่าเศร้าที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตดั่งเช่นที่ครอบครัวของพวกตนประสบ