“คำขวัญวันเด็ก” เป็นถ้อยคำสั้น ๆ ที่ปรากฏควบคู่กับวันเด็กแห่งชาติของประเทศไทยมาอย่างยาวนานกว่า 60 ปี แม้จะเป็นเพียงประโยคสั้น ๆ แต่กลับมีพลังในการสะท้อนแนวคิด นโยบาย และความคาดหวังของผู้นำประเทศที่มีต่อเด็กและเยาวชน โดยคำขวัญวันเด็กไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำให้กำลังใจ หากแต่เป็นภาพสะท้อนของบริบททางสังคม การเมือง และทิศทางการพัฒนาประเทศในแต่ละยุคสมัย

คำขวัญวันเด็ก เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2499 สมัยจอมพล แปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้มอบคำขวัญว่า “จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม” ซึ่งสะท้อนแนวคิดเรื่องหน้าที่ ความเสียสละ และการอยู่ร่วมกันในสังคม ต่อมาหลังจากเว้นช่วงไป 2 ปี ในปี พ.ศ. 2502 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้มอบคำขวัญวันเด็กอีกครั้ง และนับแต่นั้นเป็นต้นมา การมอบคำขวัญวันเด็กโดยนายกรัฐมนตรีจึงกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบมาจนถึงปัจจุบัน
ในช่วงทศวรรษแรก ๆ คำขวัญวันเด็ก จะเน้นในเรื่องระเบียบวินัย ความขยัน ความประหยัด และความจงรักภักดี ซึ่งสอดคล้องกับสภาพสังคม การเมืองในยุคนั้น ต่อมาในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีที่มอบคำขวัญวันเด็กจำนวนมากที่สุดคนหนึ่ง คำขวัญจะเน้นเนื้อหาแนวคิดด้านการศึกษา คุณธรรม และความสามัคคี โดยคำขวัญที่ได้รับการจดจำมากที่สุด คือคำขวัญ ปี พ.ศ. 2516 “เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ”
ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี คำขวัญวันเด็กจะมีลักษณะเป็นประโยคยาว ใช้ถ้อยคำเชิงปลุกใจ สอดแทรกแนวคิดเรื่องคุณธรรม หน้าที่ ความรับผิดชอบ และบทบาทของเยาวชนต่อชาติบ้านเมือง อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2517 สมัยนายกรัฐมนตรีสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้มอบคำขวัญวันเด็กที่สั้น กระชับ และชัดเจนที่สุดคือ “สามัคคีคือพลัง”

เมื่อเวลาผ่านไป คำขวัญวันเด็กได้ปรับเปลี่ยนไปตามพลวัตของสังคมไทย ในช่วงที่ประเทศให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม คำขวัญมักเน้นเรื่องการเรียนรู้ ความรู้ และคุณธรรม ต่อมาในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แนวคิดเรื่องการคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้ตลอดชีวิต และการก้าวทันโลกก็เริ่มปรากฏอย่างเด่นชัด ขณะเดียวกัน แนวคิดด้านประชาธิปไตย สิ่งแวดล้อม และการอยู่ร่วมกันในสังคมที่หลากหลาย ก็ถูกสอดแทรกเข้ามาในคำขวัญวันเด็กของหลายรัฐบาล
ในช่วงหลัง คำขวัญวันเด็กเริ่มสะท้อนรูปแบบการสื่อสารที่กระชับ ทันสมัย และเข้าถึงเด็ก เยาวชน ได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือคำขวัญวันเด็กปี พ.ศ. 2568 จากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร “ทุกโอกาส คือ การเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง” ซึ่งเน้นแนวคิดเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการกำหนดอนาคตด้วยตนเอง สอดคล้องกับบริบทของโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ในปี พ.ศ. 2569 คำขวัญวันเด็กจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล “รักชาติไทย ใส่ใจโลก” ได้กลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในสังคม ด้วยลักษณะที่สั้น กระชับ และจดจำง่าย จนถูกยกให้เป็นคำขวัญวันเด็กที่สั้นที่สุดในรอบกว่าหลายทศวรรษ ความโดดเด่นของคำขวัญนี้ไม่เพียงอยู่ที่ความสั้น หากยังสะท้อนแนวคิดเพื่อปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนไทยเติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ มีความรักและความภูมิใจในชาติ ควบคู่กับการตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และประชาคมโลก

การเปลี่ยนแปลงของคำขวัญวันเด็กจากประโยคยาวสู่ถ้อยคำสั้น ๆ สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของรูปแบบการสื่อสารในยุคที่ความสนใจของผู้รับสารมีช่วงเวลาจำกัด เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงสาระสำคัญได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน เนื้อหายังคงรักษาแก่นของความคาดหวังที่ผู้นำประเทศมีต่อคนรุ่นใหม่ เป็นสัญลักษณ์เชิงนโยบายทางความคิดของสังคมไทย ไม่ว่าจะสั้นหรือยาว คำขวัญเหล่านี้ล้วนสะท้อนภาพของเด็กไทยในสายตาของผู้นำประเทศ และยังคงทำหน้าที่เป็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของสังคมไทยได้อย่างชัดเจน



















