ด่วน! สหรัฐฯ กดดันไทย ปล่อยเชลยศึกกัมพูชา 18 นาย หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” ร่วมลงนามสันติภาพไทย–กัมพูชา

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้มีการลงนามใน “ข้อตกลงสันติภาพฉบับใหม่” ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา โดยมี โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้าร่วมเป็นพยานในพิธีอย่างเป็นทางการ

ข้อตกลงดังกล่าวมีสาระสำคัญให้ทั้งสองประเทศยุติการปะทะตามแนวชายแดน ถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ และร่วมมือในการเก็บกู้กับระเบิดที่ตกค้าง ขณะเดียวกัน ยังมีเงื่อนไขสำคัญคือ ให้ไทยปล่อยตัวเชลยศึกชาวกัมพูชาจำนวน 18 นาย ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ภายหลังการสู้รบที่ผ่านมา

หลังพิธีลงนาม สหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ไทยดำเนินการปล่อยเชลยทันที เพื่อแสดงความจริงใจและพิสูจน์ว่าข้อตกลงสันติภาพครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงแค่คำสัญญาในเอกสาร โดยย้ำว่าการปล่อยเชลยถือเป็น “ก้าวแรกของความไว้วางใจ” ระหว่างสองประเทศ

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายทหารไทยออกมาชี้แจงว่า การปล่อยเชลยทั้ง 18 นายยังไม่สามารถทำได้ทันที เนื่องจากยังมีเงื่อนไขบางประการที่กัมพูชาต้องปฏิบัติก่อน เช่น การถอนกำลังทหารออกจากแนวชายแดน การยุติการยิงตอบโต้ และการรับรองความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ไทยในพื้นที่พิพาท

สำหรับความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชานั้น ปะทุขึ้นจากการปะทะบริเวณใกล้ “ปราสาทพระวิหาร” ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทั้งสองฝ่าย รวมถึงประชาชนที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่เป็นจำนวนมาก ทำให้สหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ เข้ามาเป็น “คนกลาง” เพื่อไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองประเทศกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา และนำไปสู่การลงนามในข้อตกลงสันติภาพครั้งนี้

สาระสำคัญของสัญญาระบุว่า ทั้งสองประเทศจะหยุดยิงถาวร ตั้งคณะผู้สังเกตการณ์จากอาเซียนเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ และปล่อยเชลยศึกทั้งหมดภายในระยะเวลาที่ตกลงกันไว้

ล่าสุด มีรายงานว่าสหรัฐฯ และกัมพูชายังคงกดดันให้ไทยเร่งดำเนินการปล่อยตัวเชลยโดยเร็วที่สุด เพื่อให้เห็นความคืบหน้าของข้อตกลง ขณะที่ฝั่งไทยยังคงยืนยันว่าจะดำเนินการตามขั้นตอนและหลักความมั่นคงแห่งชาติ

เหตุการณ์ครั้งนี้นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา ที่อาจนำไปสู่สันติภาพถาวรในอนาคต และยังเป็นการแสดงให้เห็นบทบาทของสหรัฐอเมริกาในฐานะ “ผู้ผลักดัน” ความสงบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกครั้ง