เดือดแน่! นายกฯ ลั่นไม่ทน หากเขมรรุกรานไทย พร้อมตอบโต้ทันที “สีหศักดิ์” ปัด 9 เงื่อนไข
นายกฯ อนุทิน ลั่น “พร้อมจัดหนักเขมร” หากรุกรานไทย ย้ำจุดยืนอธิปไตยไม่ต่อรอง – “สีหศักดิ์” โต้ข่าวเงื่อนไข 9 ข้อ ยันไทยไม่ยอมรับข้อเสนอฝ่ายเดียว
สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชายังคงตึงเครียด แม้จะมีการเจรจาและการหารือระดับสูงอย่างต่อเนื่อง แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ทั้งปัญหาการรุกล้ำชายแดน การปล่อยข่าวสารจากฝ่ายกัมพูชา และกรณีการเคลื่อนไหวของกองกำลังในพื้นที่ ทำให้รัฐบาลไทยต้องออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า “ประเทศไทยจะไม่ยอมให้ใครละเมิดอธิปไตย”
เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ที่ผ่านมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงรายงานข่าวที่อ้างว่า สมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ไม่ต้องการลงนามในสัญญาสันติภาพและไม่พร้อมเจรจาหยุดยิงกับไทย โดยยืนยันว่าขณะนี้กระบวนการเจรจายังเดินหน้าตามปกติ พร้อมย้ำว่าไทยมีจุดยืนชัดเจน 4 ข้อในการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
นายอนุทินกล่าวว่า
“การที่เราไม่ถูกคุกคามหรือถูกยิงข้ามฝั่งมาเกือบ 2 เดือน ถือเป็นความคืบหน้าอย่างหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าเขาทราบแล้วว่าไทยไม่ยอมรับการยั่วยุ และพร้อมจะโต้ตอบอย่างเต็มที่ หากมีการละเมิดอีก”
นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า การเจรจาในระดับคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) และคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยไทยยังคงมุ่งเน้นให้การพูดคุยดำเนินไปด้วยสันติวิธี แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ยอมให้ฝ่ายใดใช้ “ความสนุกหรือความสะใจ” มาละเมิดอธิปไตยของไทย
🔹 ย้ำไทยพร้อมปกป้องอธิปไตยทุกวิถีทาง
นายอนุทินระบุอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลไทยมีความอดทนต่อการยั่วยุจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่หากมีการรุกรานหรือทำร้ายประชาชนไทย จะไม่มีการนิ่งเฉยอีกต่อไป
“สิ่งที่ยืนยันได้คือ รัฐบาลนี้จะไม่ยอมให้กัมพูชามาละเมิดอธิปไตย และทำร้ายคนของเราอีกต่อไป เราพร้อมโต้ตอบทุกวิถีทาง หากเขาไม่เคารพข้อตกลงและความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน”
คำกล่าวของนายกรัฐมนตรีได้รับความสนใจจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในแวดวงการทูตและความมั่นคง ที่มองว่านี่คือการส่งสัญญาณทางการเมืองครั้งสำคัญของรัฐบาลไทยต่อเพื่อนบ้านในภูมิภาคอินโดจีน
🔹 ปมข่าว “นักการเมือง 7 คนพัวพันสแกมเมอร์” นายกฯ ปัดชัด ไม่เป็นความจริง
ระหว่างการให้สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงกรณีที่สถานทูตเกาหลีใต้ออกมายืนยันว่า “ไม่ได้ให้ข่าวเกี่ยวกับนักการเมืองไทย 7 คน” ที่ถูกกล่าวหาว่าเชื่อมโยงกับเครือข่ายสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นกระแสร้อนในโลกออนไลน์
นายอนุทินตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา พร้อมย้อนถามผู้สื่อข่าวว่า
“ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าเกาหลีใต้เขาออกมาแถลงว่าไม่จริง เรื่องนี้ไม่ต้องถามซ้ำ ถ้าไม่ใช่ความจริงก็ไม่ควรถามต่อ เพราะเราปราบปรามจริงจังอยู่แล้ว”
นายกรัฐมนตรีเผยว่า เพียงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ได้จับกุมเครือข่ายสแกมเมอร์ที่เกี่ยวข้องกับการหมุนเงินหลายหมื่นล้านบาท พร้อมสั่งการให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้แถลงรายละเอียดอย่างเป็นทางการ เพื่อความชัดเจนในเชิงข้อมูล
“รัฐบาลนี้ไม่มีการละเว้นใคร ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือคนในวงการใดๆ เพราะสแกมเมอร์ถือเป็นศัตรูของประเทศ และเป็นภัยระดับโลก” นายอนุทินกล่าวอย่างหนักแน่น
🔹 เปิดทาง “รังสิมันต์ โรม” หากมีหลักฐาน พร้อมรับฟังทุกฝ่าย
ในส่วนของกรณีที่นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ระบุว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับเครือข่ายสแกมเมอร์ที่โยงนักการเมือง นายอนุทินตอบว่า รัฐบาลยินดีรับฟังหากมี “หลักฐานที่ชัดเจน” เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถขยายผลทางคดีได้
“พูดลอยๆ ไม่ได้ ต้องมีหลักฐานมาชัดเจน เพราะเราทำงานด้วยข้อมูล ไม่ใช่การกล่าวหา ส่วนตัวผมยินดีเชิญคุณรังสิมันต์มาหารือเป็นการส่วนตัวได้ เพราะเขาเคยให้ข้อมูลที่แม่สอดมาก่อนหน้านี้แล้ว”
🔹 “สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” โต้ข่าวแรง กัมพูชาอ้างไทยต้องรับ 9 เงื่อนไขฟื้นฟูสันติภาพ
ในอีกด้านหนึ่ง นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งขณะนั้นอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจที่ประเทศภูฏาน ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่หน่วยงานโฆษกรัฐบาลกัมพูชาเผยแพร่ข่าวว่า “ไทยต้องยอมรับ 9 เงื่อนไขของกัมพูชาในการฟื้นฟูสันติภาพ”
นายสีหศักดิ์ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า ข่าวดังกล่าว “ไม่เป็นความจริง” และถือเป็นการเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงที่ได้หารือร่วมกันในที่ประชุม 4 ฝ่าย ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม
“เราไม่เคยคุยกันเรื่องเงื่อนไขใดๆ เลย สิ่งที่ตกลงกันคือแนวทางการคลี่คลายปัญหาเพื่อเดินหน้าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่ใช่การตั้งเงื่อนไขฝ่ายเดียว”
🔹 ไทยชู 4 แผนหลักในที่ประชุม GBC เพื่อสร้างเสถียรภาพชายแดน
นายสีหศักดิ์อธิบายเพิ่มเติมว่า ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องกันว่าจะดำเนินการตาม “4 แผนงานหลัก” ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการลดความตึงเครียดบริเวณชายแดน ได้แก่
1. การเคลื่อนย้ายอาวุธหนักกลับสู่ที่ตั้งเดิม เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจและลดการปะทะที่อาจเกิดขึ้น
2. การร่วมมือกู้และกำจัดทุ่นระเบิด ซึ่งยังคงตกค้างอยู่ตามแนวชายแดนในหลายพื้นที่ โดยเริ่มมีการปฏิบัติแล้ว
3. การประสานงานปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการลักลอบค้าแรงงาน ยาเสพติด และการหลอกลวงทางออนไลน์
4. การหารือเชิงลึกเรื่องการรุกล้ำชายแดน เพื่อหามาตรการป้องกันและแก้ไขโดยสันติวิธี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า เมื่อทั้ง 4 แผนงานเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม ฝ่ายไทยจะพิจารณาเรื่องการปล่อยตัวเชลยศึกชาวกัมพูชาจำนวน 18 คน ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่อยู่ในขั้นตอนการเจรจา
🔹 ไทยไม่ยอมให้ “ข่าวปลอม” สร้างความเข้าใจผิดระหว่างประเทศ
นายสีหศักดิ์เน้นย้ำว่า การที่กัมพูชาออกข่าวอ้างถึง “เงื่อนไข 9 ข้อ” อาจเกิดจากการสื่อสารผิดพลาด หรืออาจเป็นการนำเสนอเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมือง ซึ่งไทยไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว
“ขณะนี้เราทั้งสองฝ่ายต้องร่วมมือกันภายในประเทศของตนเอง เพื่อให้บรรลุสิ่งที่ตกลงไว้ในกัวลาลัมเปอร์ การเผยแพร่ข่าวที่คลาดเคลื่อนจะไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ในระยะยาว
รัฐมนตรีกล่าวต่อว่า ประเทศที่เข้าร่วมการหารืออย่างสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย ต่างเห็นพ้องว่าการแก้ปัญหาควรดำเนินการผ่าน “กลไกระดับทวิภาคี” ระหว่างไทยและกัมพูชา ไม่ควรนำประเด็นนี้ขึ้นสู่เวทีระหว่างประเทศ เพราะจะยิ่งซับซ้อนและไม่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์
🔹 วิเคราะห์ : “เกมการเมืองชายแดน” ที่มากกว่าความมั่นคง
ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้วิเคราะห์ว่า สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ไม่ได้เป็นเพียงประเด็นทางทหารหรือความมั่นคงเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึง “แรงกดดันทางการเมืองภายใน” ของทั้งสองประเทศ
ฝั่งกัมพูชา ภายใต้รัฐบาลของสมเด็จฮุน มาเนต กำลังเผชิญแรงกดดันจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมและกองทัพบางส่วนที่ยังคงมีอิทธิพลสูง
ฝั่งไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ก็ต้องรักษาสมดุลระหว่าง “การแสดงความเด็ดขาด” เพื่อปกป้องผลประโยชน์ชาติ และ “การรักษาความสัมพันธ์ทางการทูต” เพื่อไม่ให้เกิดความบานปลาย
นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่า การที่รัฐบาลไทยออกมาประกาศจุดยืนชัดเจนว่า “พร้อมจัดหนักหากถูกละเมิด” นั้น เป็นการส่งสัญญาณให้ทั้งภายในประเทศและประชาคมโลกเห็นว่า ไทยจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับเหตุการณ์ชายแดนปี 2554 ที่เคยเกิดการปะทะบริเวณปราสาทพระวิหาร
🔹 การเจรจายังไม่สิ้นสุด แต่ “ความอดทนของไทยมีขีดจำกัด”
แม้สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนจะยังสงบลงในระดับหนึ่ง แต่รัฐบาลไทยยังคงเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด และมีการติดตามข่าวกรองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของกองกำลังและการสื่อสารจากฝ่ายกัมพูชา
แหล่งข่าวจากฝ่ายความมั่นคงเผยว่า การไม่เกิดเหตุยิงข้ามแดนในช่วงเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก แต่ก็ไม่อาจนิ่งนอนใจ เพราะยังมี “ปัจจัยเสี่ยง” เช่น กลุ่มติดอาวุธท้องถิ่น หรือผู้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่อาจสร้างสถานการณ์ขึ้นมา
นายอนุทินจึงย้ำว่า ไทยจะยึดหลัก “สันติภาพคู่กับความมั่นคง” แต่จะไม่ยอมอ่อนข้อให้ฝ่ายใดมาทำให้คนไทยต้องเสียชีวิตหรือสูญเสียทรัพย์สินจากการรุกราน
🔹 ภาพรวมความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา : ระหว่าง “มิตรภาพ” และ “ความระแวดระวัง”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไทยและกัมพูชาแม้จะมีความร่วมมือในหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว และการรักษาความสงบตามแนวชายแดน แต่ความไว้วางใจทางการเมืองยังไม่เต็มร้อย
การอ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่ชายแดนบางจุด รวมถึงการสื่อสารผ่านสื่อของกัมพูชาที่บางครั้งตีความเกินจริง กลายเป็นประเด็นที่ทำให้รัฐบาลไทยต้องออกมาชี้แจงอยู่บ่อยครั้ง
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองประเทศต่างตระหนักดีว่า การเผชิญหน้าไม่เป็นผลดีต่อใคร โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัว และภูมิภาคอาเซียนกำลังพยายามสร้างเสถียรภาพร่วมกัน
🔹 บทสรุป : ไทยพร้อมสันติ แต่ไม่ยอมให้ใครข้ามเส้น
จากคำให้สัมภาษณ์ของทั้งนายอนุทินและนายสีหศักดิ์ สะท้อนจุดยืนของรัฐบาลไทยได้อย่างชัดเจนว่า ไทยยังคงเปิดกว้างสำหรับการเจรจาและการแก้ไขปัญหาผ่านช่องทางทางการทูต แต่จะไม่ยอมให้ฝ่ายใดใช้ข้ออ้างหรือข่าวปลอมมาสร้างความได้เปรียบทางการเมือง
“เราต้องการให้ทุกอย่างเดินหน้า และคืบหน้าตามที่ได้คุยกันที่กัวลาลัมเปอร์ ไม่มีการยอมรับเงื่อนไขฝ่ายเดียว ไทยต้องการสันติภาพที่แท้จริงบนพื้นฐานของความเท่าเทียม” – นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว กล่าวทิ้งท้าย
ในขณะที่นายอนุทินก็ปิดท้ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“ถ้าเขามารุกราน เราพร้อมจัดหนักแน่นอน แต่ถ้าเขาเคารพข้อตกลง เราก็พร้อมจับมือเดินไปข้างหน้าร่วมกัน”
คำกล่าวนี้ไม่เพียงเป็นถ้อยแถลงเชิงนโยบาย แต่ยังสะท้อนถึงจิตวิญญาณของผู้นำที่ต้องยืนอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่าง “ความเด็ดขาด” กับ “ความอดทน” เพื่อรักษาทั้งอธิปไตยและสันติภาพของชาติ





















