ผู้รายงานพิเศษแห่งUNห่วงกังวลกรณี สว.อังคณา
UN แสดงความห่วงใย “อังคณา นีละไพจิตร” หลังถูกขู่เอาชีวิตและโจมตีออนไลน์ ย้ำ “นักปกป้องสิทธิฯ ต้องได้รับการคุ้มครอง ไม่ใช่ถูกประณาม”
วันที่ 15 ตุลาคม 2568 สังคมไทยและนานาชาติให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง หลังนาง แมรี่ เลาลอร์ (Mary Lawlor) ผู้รายงานพิเศษแห่งองค์การสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UN Special Rapporteur on Human Rights Defenders) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Mary Lawlor UN Special Rapporteur for human rights defenders” แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อกรณีที่ นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหญิงของไทย ถูกขู่เอาชีวิตและโจมตีทางออนไลน์
ในโพสต์ดังกล่าว แมรี่ เลาลอร์ ระบุว่า “ดิฉันรู้สึกกังวลอย่างยิ่งกับรายงานการข่มขู่ฆ่าและการโจมตีทางออนไลน์ต่ออังคณา นีละไพจิตร การปกป้องความจริง ความยุติธรรม และศักดิ์ศรีไม่ใช่อาชญากรรม เธอต้องได้รับการปกป้อง ไม่ใช่ถูกประณาม” ซึ่งเป็นถ้อยคำที่สะท้อนจุดยืนของสหประชาชาติที่ให้ความสำคัญกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทั่วโลก
คำแถลงของผู้รายงานพิเศษแห่ง UN ครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ นางอังคณา นีละไพจิตร กำลังตกอยู่ในกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักภายในประเทศ หลังจากเธอออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวที่กำลังร้อนแรงในสังคมไทย ความเห็นของเธอที่เน้นการยึดหลักสิทธิมนุษยชนและความเป็นมนุษย์เหนือเส้นแบ่งเขตแดน ได้จุดกระแสถกเถียงในหมู่ประชาชนและกลุ่มการเมืองบางฝ่าย
ขณะเดียวกัน กระแสโจมตีทางออนไลน์ต่ออังคณาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บางข้อความมีลักษณะข่มขู่รุนแรงถึงขั้นเอาชีวิต ซึ่งสร้างความกังวลในแวดวงสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศ โดยหลายองค์กรเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยเร่งดำเนินการตรวจสอบและจัดมาตรการคุ้มครองเธอในฐานะนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
อังคณา นีละไพจิตร เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนมานานหลายสิบปี โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์สามีของเธอ “สมชาย นีละไพจิตร” ทนายความที่หายตัวไปอย่างเป็นปริศนาในปี 2547 ซึ่งกลายเป็นคดีตัวอย่างของการบังคับสูญหายในประเทศไทย เธอไม่เพียงแสวงหาความยุติธรรมให้ครอบครัวของตนเอง แต่ยังเป็นเสียงสำคัญที่ผลักดันให้สังคมตระหนักถึงสิทธิของผู้ถูกละเมิดและครอบครัวของเหยื่อทั่วประเทศ
องค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ เช่น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และฮิวแมนไรท์วอทช์ ต่างเคยยกย่องเธอว่าเป็น “หนึ่งในผู้หญิงที่กล้าแกร่งที่สุดในเอเชีย” ที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อความจริงโดยไม่หวั่นต่อแรงกดดันใด ๆ
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ความเปราะบางของผู้ที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ที่ยังคงเผชิญความเสี่ยงต่อการถูกคุกคาม ทั้งในโลกออนไลน์และในชีวิตจริง การออกมาแสดงจุดยืนของผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติ จึงเป็นเหมือนการส่งสัญญาณเตือนต่อรัฐบาลไทยให้ตระหนักถึงพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศในการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
นอกจากนี้ คำกล่าวของแมรี่ เลาลอร์ ยังสื่อสารถึงสังคมไทยโดยตรงว่า การปกป้องสิทธิมนุษยชนไม่ใช่การต่อต้านรัฐหรือชาติ แต่คือการรักษาคุณค่าความเป็นมนุษย์และหลักความยุติธรรมที่ทุกประเทศควรยึดถือ เธอย้ำว่าผู้ที่ลุกขึ้นมาพูดเพื่อความถูกต้องสมควรได้รับการคุ้มครอง ไม่ใช่ตกเป็นเป้าของการประณามหรือข่มขู่
เสียงจากสหประชาชาติครั้งนี้อาจเป็นอีกแรงผลักดันให้สังคมไทยหันมาทบทวนว่า เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการปกป้องสิทธิของผู้อื่นควรถูกมองในแง่ใด และรัฐควรมีบทบาทอย่างไรในการสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยให้กับผู้ที่ทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของพวกเขา
ในท้ายที่สุด กรณี “อังคณา นีละไพจิตร” จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของบุคคลหนึ่ง แต่เป็นบททดสอบสำคัญของสังคมไทยในการเคารพสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีของทุกคนอย่างเท่าเทียมตามหลักประชาธิปไตยและมนุษยธรรมสากล




















