นายกรัฐมนตรีอนุทิน ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสถานการณ์ที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว หลังเกิดกระแสวิพากษ์เกี่ยวกับการเปิดฉายสารคดีและการใช้เสียงหลอนในพื้นที่
นายกรัฐมนตรีอนุทินชาญวีรกูลออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสถานการณ์ที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว หลังเกิดกระแสวิพากษ์เกี่ยวกับการเปิดฉายสารคดีและการใช้เสียงหลอนในพื้นที่ โดยยืนยันว่าตนยังไม่ได้ชมด้วยตนเองเพราะติดภารกิจลงพื้นที่ต่อเนื่อง แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องอยู่ในกรอบของกฎหมายและอยู่ภายใต้หลักสิทธิมนุษยชนสากล พร้อมย้ำว่าไทยจะไม่เพลี่ยงพล้ำในเวทีโลก เพราะสิ่งที่ทำทั้งหมดเป็นการปกป้องอธิปไตยของประเทศ
นายอนุทินระบุว่าการดำเนินงานในพื้นที่ชายแดนนั้นได้มอบอำนาจให้กองทัพเป็นผู้พิจารณาอย่างเต็มที่ เพื่อให้การปฏิบัติสอดคล้องกับสถานการณ์จริง ขณะที่ด้านการทูตเป็นความรับผิดชอบของกระทรวงการต่างประเทศที่ต้องดูแลให้การเจรจาเป็นไปในทิศทางที่เหมาะสมและไม่สร้างความขัดแย้งเพิ่มเติม
ในช่วงเวลาเดียวกันนายสีหศักดิ์พวงเกตุแก้วรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซีย เพื่อหารือร่วมกับผู้แทนจากรัฐบาลกัมพูชาและมาเลเซีย โดยได้รับอำนาจจากรัฐบาลให้เจรจาได้เต็มรูปแบบ ถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวทางการทูตที่แสดงถึงความพยายามของไทยในการแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยแนวทางสันติ
สำหรับเสียงวิพากษ์ที่มองว่าการฉายสารคดีและการเปิดเสียงหลอนอาจเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะขอฟังและตรวจสอบด้วยตนเองก่อนตัดสินใจ แต่ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติภายใต้กรอบของกฎหมายและมาตรฐานสากล ไม่ปล่อยให้การดำเนินการใดๆ ล้ำเส้นไปสู่การละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ใด
นอกจากนี้นายอนุทินยังกล่าวถึงท่าทีของโดนัลด์ทรัมป์ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่แสดงความประสงค์จะเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยยืนยันว่ารัฐบาลไทยได้ส่งหนังสือตอบกลับไปแล้ว และพร้อมเปิดรับทุกความร่วมมือที่ตั้งอยู่บนหลักเคารพอธิปไตยของกันและกัน
เขาย้ำว่าประเทศไทยยังคงเดินหน้าแก้ปัญหาชายแดนด้วยแนวทางสันติและมั่นใจว่าการดำเนินการของกองทัพและรัฐบาลทั้งหมดมีเป้าหมายเพื่อรักษาความมั่นคงและปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่เพื่อสร้างความตึงเครียดกับประเทศเพื่อนบ้าน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าการปกป้องอธิปไตยไม่ใช่การรุกรานแต่คือหน้าที่ของรัฐบาลไทยที่จะทำทุกทางเพื่อให้คนไทยปลอดภัยและชายแดนกลับมาสงบโดยเร็วที่สุด
คำกล่าวของนายอนุทินสะท้อนแนวทางบริหารประเทศในยามวิกฤติที่ต้องอาศัยทั้งความเข้มแข็งของกองทัพและความยืดหยุ่นทางการทูต รัฐบาลไทยเลือกที่จะวางตัวอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้ถูกโจมตีทางสิทธิมนุษยชน ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมลดทอนอำนาจอธิปไตยของตนในสายตาประชาคมโลก
ท่าทีของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนการส่งสัญญาณไปยังทั้งในและต่างประเทศว่า ประเทศไทยจะยืนหยัดบนหลักแห่งความถูกต้อง ปฏิบัติทุกอย่างภายใต้กฎหมาย ไม่หวั่นไหวต่อแรงกดดันใดๆ และพร้อมใช้ทุกช่องทางเพื่อให้สถานการณ์ชายแดนกลับมาสงบโดยไม่เสียศักดิ์ศรีของชาติ






















