วิจารณ์สนั่น! เจ้าสาวจีนคืนสินสอดไม่ครบ ขอหัก “ค่ากอด” กว่าแสนบาท อ้างชดเชยทางใจ – ฝ่ายชายช็อก ชาวเน็ตถล่มยับ
วิจารณ์สนั่น! เจ้าสาวจีนคืนสินสอดไม่ครบ ขอหัก “ค่ากอด” กว่าแสนบาท อ้างชดเชยทางใจ – ฝ่ายชายช็อก ชาวเน็ตถล่มยับ
กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ของจีน หลังมีชายหนุ่มรายหนึ่งออกมาเปิดเผยเรื่องราวชวนช็อกว่า “ว่าที่เจ้าสาว” ที่เพิ่งล้มเลิกงานแต่งงานกับเขา ยอมคืนสินสอดให้เพียงบางส่วน โดยหักเงินกว่า 30,000 หยวน (ราว 150,000 บาท) โดยให้เหตุผลสุดพีคว่าเป็น “ค่ากอด” และ “ค่าชดเชยทางใจ” ทำให้ชาวเน็ตวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง
ชายหนุ่มรายนี้เล่าว่า เขาและแฟนสาวคบหากันได้ระยะหนึ่ง ก่อนตัดสินใจแต่งงาน โดยครอบครัวฝ่ายชายมอบสินสอดให้ฝ่ายหญิงตามธรรมเนียมท้องถิ่นราว 200,000 หยวน (ประมาณหนึ่งล้านบาท) แต่หลังจากเตรียมงานแต่งไปได้ไม่นาน ฝ่ายหญิงกลับขอยกเลิกงาน โดยอ้างว่า “หมดใจ” และ “ไม่พร้อมใช้ชีวิตคู่”
ชายหนุ่มจึงขอให้ฝ่ายหญิงคืนสินสอดตามข้อตกลง ซึ่งในตอนแรกอีกฝ่ายก็ยอมรับ แต่เมื่อถึงเวลาคืนเงินจริง ๆ กลับโอนคืนเพียงบางส่วน โดยบอกว่าขอหัก “ค่ากอด ค่าหอม และค่าเวลาที่เคยอยู่ด้วยกัน” รวมกว่า 30,000 หยวน เพราะตลอดเวลาที่คบกัน เธอต้อง “ใช้หัวใจ” และ “แบกรับความรู้สึกมากมาย”
เรื่องดังกล่าวกลายเป็นไวรัลทันทีในโซเชียลจีน โดยชาวเน็ตพากันถล่มวิจารณ์ฝ่ายหญิงอย่างหนัก มองว่าเป็นการเรียกค่าเสียหายที่ไร้เหตุผลและไม่ให้เกียรติอีกฝ่าย หลายคนเหน็บแนมว่า “ถ้ากอดคิดเงินได้ ก็สมควรไปเปิดบริษัทรับบริการกอดแทนจะดีกว่า” ขณะที่บางส่วนกลับมองว่า การให้สินสอดเป็นเพียงข้อตกลงทางสังคม ไม่ใช่การซื้อความรัก และการหักเงินเพื่อชดเชยทางใจก็อาจสะท้อนมุมมองใหม่ของคนรุ่นนี้ที่มองความสัมพันธ์ในเชิงธุรกรรมมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายชายยอมรับว่า “รู้สึกเสียใจและผิดหวังอย่างมาก” เพราะไม่คิดว่าความรักจะต้องลงเอยด้วยการคิดเงินทุกอารมณ์ความรู้สึก พร้อมเผยว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีและความเคารพซึ่งกันและกัน
ประเด็นนี้จึงถูกยกมาถกเถียงในวงกว้าง ทั้งในเรื่องของ ขนบสินสอดในสังคมจีนยุคใหม่ และ แนวคิดเรื่องมูลค่าความสัมพันธ์ ว่าควรถูกวัดด้วยเงินหรือไม่ ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า หลายจังหวัดของจีนเริ่มมีการออกกฎจำกัดค่าสินสอด เพื่อป้องกันปัญหาความขัดแย้งระหว่างคู่รักและครอบครัว
ท้ายที่สุด แม้ “ค่ากอด” จะฟังดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของค่านิยมความรักในยุคปัจจุบัน ที่อาจกำลังเดินห่างจากคำว่า “ความผูกพัน” และเข้าใกล้คำว่า “ผลประโยชน์”มากขึ้นทุกที.

















