ตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชา! “ดีเดย์ไล่ชาวเขมรพ้นแผ่นดินไทย”
ชาวกัมพูชานับร้อยรวมตัวบ้านเปรยจัน ฝั่งไทยเพิ่มกำลังทหารเต็มพื้นที่ อาวุธครบมือ รับมือสถานการณ์ร้อน
วันที่ 10 ตุลาคม 2568
สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่บ้านเปรยจัน อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง หลังทางการไทยเริ่มปฏิบัติการ “ดีเดย์ ไล่ชาวกัมพูชาพ้นแผ่นดินไทย” ตามนโยบายควบคุมพื้นที่ชายแดนและจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว
รายงานจากพื้นที่ระบุว่า ชาวกัมพูชากว่า 100 คนได้รวมตัวกันบริเวณใกล้รั้วชายแดน เพื่อแสดงจุดยืนไม่ยอมออกจากพื้นที่ที่ไทยอ้างว่าเป็นเขตแดนของตนเอง ท่ามกลางการเพิ่มกำลังของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยอย่างเข้มข้น
ทหารไทยเสริมแนวชายแดน อาวุธครบมือ
เจ้าหน้าที่ทหารจากกองกำลังบูรพา พร้อมหน่วยความมั่นคงชายแดน ได้รับคำสั่งให้เพิ่มกำลังลาดตระเวนในจุดเสี่ยง พร้อมจัดตั้งแนวรั้วลวดหนามเพิ่มเติม และนำ อาวุธประจำกายครบมือ เข้าประจำการในพื้นที่ เพื่อป้องกันเหตุเผชิญหน้าที่อาจเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการตั้งด่านตรวจและจุดควบคุมตลอดแนวชายแดน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ไม่มีเอกสารเข้าออกโดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะเดียวกันได้สั่งให้ชาวบ้านฝั่งไทยในพื้นที่ใกล้แนวปะทะ เตรียมพร้อมอพยพชั่วคราว หากสถานการณ์บานปลาย
ที่มาของความขัดแย้ง
ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเฉพาะในเขตจังหวัดสระแก้วและบันเตียเมียนเจย เป็นพื้นที่ที่มี ข้อพิพาทเรื่องแนวเขตแดนทับซ้อน มานานหลายสิบปี
ฝั่งไทยระบุว่า พื้นที่บางส่วนเป็นเขตป่าสงวนและอยู่ในอำนาจปกครองของไทย ขณะที่ชาวกัมพูชาหลายครอบครัวได้เข้ามาทำกินและสร้างที่อยู่อาศัยมานาน โดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ทางกฎหมาย
ล่าสุด รัฐบาลไทยได้ประกาศให้ผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทยหรือหลักฐานสิทธิ์ในพื้นที่ ย้ายออกภายในวันที่ 10 ตุลาคม 2568 ซึ่งถือเป็นวันดีเดย์ของการดำเนินการผลักดันออกนอกพื้นที่อย่างเป็นทางการ
ฝั่งกัมพูชาชี้ “อยู่มาก่อน” เรียกร้องใช้การเจรจา
หลังข่าวดีเดย์แพร่สะพัด รัฐบาลกัมพูชาได้แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ โดยระบุว่าชาวบ้านที่ถูกสั่งให้ออกส่วนใหญ่เป็น ประชาชนที่อาศัยอยู่มาหลายสิบปี และบางส่วนถือว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตของกัมพูชา
กระทรวงมหาดไทยกัมพูชาออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ไทย ใช้การเจรจาและแนวทางสันติวิธี แทนการใช้กำลัง พร้อมเตือนว่าการกระทำใด ๆ ที่กระทบต่อประชาชนชายแดนอาจ “บั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ”
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ชาวบ้านฝั่งกัมพูชาหลายครอบครัวยังคง ปักหลักใกล้ชายแดน และมีการนำอาหาร เครื่องใช้ และเต็นท์มาตั้งแคมป์ เพื่อรอความชัดเจนจากรัฐบาลทั้งสองฝ่าย
ความเสี่ยงของสถานการณ์
ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงเตือนว่า หากไม่มีการประสานกันอย่างใกล้ชิด อาจเกิดเหตุ “เผชิญหน้า” หรือ “ปะทะ” ได้ โดยเฉพาะหากเกิดการเข้าใจผิดระหว่างเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย
นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชน หากเกิดการผลักดันโดยไม่ผ่านกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การประณามจากองค์กรนานาชาติและส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยในเวทีโลก
ผลกระทบต่อประชาชนชายแดน
ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ส่วนใหญ่มีชีวิตผูกพันกันมานาน ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม การผลักดันประชาชนออกจากพื้นที่อาจส่งผลต่อการค้าชายแดน การจ้างงาน และความเชื่อมั่นของประชาชนในพื้นที่
ในบางจุด ชาวบ้านไทยยังแสดงความเห็นว่า ต้องการให้ทั้งสองประเทศ หาทางออกร่วมกัน เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ ไม่ต้องหวาดกลัวการปะทะหรือการอพยพซ้ำซาก





















