รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศเดินหน้าโครงการ “ซื้อหนี้เสียครัวเรือน” มูลค่า 10,000 ล้านบาท
รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศเดินหน้าโครงการ “ซื้อหนี้เสียครัวเรือน” มูลค่า 10,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาภาระของประชาชนและกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาในช่วงปลายปี 2568 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2569 โดยกระทรวงการคลังยืนยันว่าโครงการนี้จะไม่ใช้งบประมาณหลักของรัฐ แต่จะใช้เงินจากกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจและการเงิน รวมถึงความร่วมมือจากสถาบันการเงินของรัฐและบริษัทบริหารสินทรัพย์ภาครัฐ (AMC)
มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายหลัก 3 ประการ คือ
1. ช่วยลดภาระหนี้สินของครัวเรือนที่ค้างชำระในระบบ เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต และสินเชื่อรถยนต์
2. ฟื้นฟูเสถียรภาพทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ ด้วยการนำหนี้เสียออกจากงบดุล
3. เพิ่มสภาพคล่องให้ระบบเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมการบริโภคและการใช้จ่ายภายในประเทศ
กระทรวงการคลังระบุว่า ลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์สามารถขายหนี้ให้รัฐในราคาประเมินตามมูลค่าตลาด จากนั้นจะได้รับโอกาสปรับโครงสร้างหนี้ เช่น ลดอัตราดอกเบี้ยหรือยืดระยะเวลาชำระ เพื่อให้กลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ ขณะเดียวกันจะมีการตั้งคณะกรรมการติดตามประสิทธิภาพโครงการอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันปัญหาศีลธรรมทางการเงิน (moral hazard)
นักเศรษฐศาสตร์หลายฝ่ายเห็นว่า โครงการนี้เป็นก้าวเชิงรุกที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องระยะสั้น และสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนว่ารัฐบาลพร้อมแก้ปัญหาเศรษฐกิจจริงจัง อย่างไรก็ตาม บางฝ่ายเตือนว่าการช่วยเหลือหนี้เสียควรมาพร้อมการสร้างวินัยทางการเงิน เพื่อไม่ให้เกิดการพึ่งพารัฐในอนาคต
หลังประกาศนโยบาย ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นเกือบ 1% โดยหุ้นกลุ่มธนาคารตอบรับในเชิงบวก สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาลอนุทิน ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า หากบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่อาจเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของการคลี่คลายปัญหาหนี้ครัวเรือนเรื้อรังของประเทศได้จริง





















