“ดัง พันกร” โพสต์ถึง “บอย ท่าพระจันทร์” คำพูดเดียวสะเทือนทั้งวงการ คนแห่ไลก์เป็นหมื่น!
🔥 “บอย ท่าพระจันทร์ ปะทะ โอ๊ต บางแพ” ดราม่าเดือดกลาง “โหนกระแส” จุดชนวนศึกวงการพระเครื่อง! เมื่อแนวคิด “พระแท้-พระเก๊” กลายเป็นสงครามความเชื่อครั้งใหญ่ในโลกโซเชียล
กลายเป็นประเด็นร้อนแรงสะเทือนวงการพระเครื่องไทย เมื่อสองเซียนพระชื่อดังอย่าง “บอย ท่าพระจันทร์” และ “โอ๊ต บางแพ” ได้ขึ้นเวทีเดียวกันในรายการชื่อดัง “โหนกระแส” ของ “หนุ่ม กรรชัย” เพื่อถกเถียงกันในประเด็นที่คาใจคนในวงการมานาน — “พระแท้กับพระเก๊ดูยังไง?”
การเผชิญหน้าระหว่างสองขั้วความคิดครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นเต้นให้กับคนดู แต่ยังกลายเป็นจุดชนวนให้เกิดกระแสถกเถียงครั้งใหญ่ทั้งในวงการพระเครื่องและในโลกออนไลน์ เพราะทั้งสองฝ่ายต่างมีแนวทางและหลักคิดในการ “ดูพระ” ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
⚖️ จุดเริ่มต้นของศึก : “ตัวตัด” กับ “ความเห็นส่วนตัว”
ในระหว่างการออกรายการ “โหนกระแส” ตอนล่าสุด ผู้ดำเนินรายการ หนุ่ม กรรชัย ได้เชิญทั้ง “บอย ท่าพระจันทร์” และ “โอ๊ต บางแพ” มานั่งโต๊ะเดียวกัน เพื่อถกเถียงในประเด็นที่หลายคนอยากรู้มานานว่า “แท้จริงแล้ว การดูพระแท้ พระเก๊ ควรอิงหลักอะไร?”
“บอย ท่าพระจันทร์” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในวงการพระเครื่องในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า
“การพิสูจน์พระต้องดูที่ ตัวตัด หรือ ร่องรอยแม่พิมพ์ ซึ่งเป็นหลักฐานเชิงนิติวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่ตรวจสอบได้จริงและพิสูจน์ซ้ำได้ ไม่ใช่การใช้ความรู้สึกหรือประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้น”
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า พระเครื่องทุกองค์ที่ผ่านการหล่อ พิมพ์ หรือปั๊มขึ้นมา ย่อมทิ้งร่องรอยของกระบวนการผลิตไว้เสมอ หากมีการใช้กล้องจุลทรรศน์หรือเทคนิคการถ่ายภาพขั้นสูง จะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าองค์นั้นผ่านการหล่อจริงหรือทำเลียนแบบขึ้นภายหลัง
ในขณะที่ “โอ๊ต บางแพ” ซึ่งมีชื่อเสียงในอีกแนวทางหนึ่ง กลับมองต่างออกไป โดยเขาเชื่อในเรื่องของ “ความรู้จากประสบการณ์ตรง” และ “ตาเซียน” ที่ฝึกฝนมานานกว่าวิธีทางวิทยาศาสตร์ เขาระบุว่า
“การดูพระต้องอาศัยความเข้าใจในเนื้อโลหะ ความเก่าของผิว และความหนาบางของเหรียญ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เซียนพระดูออกได้ด้วยตาและประสบการณ์ ไม่จำเป็นต้องพึ่งกล้องหรือเทคโนโลยีมากนัก”
เมื่อทั้งสองแนวคิดมาปะทะกันกลางรายการ ความตึงเครียดจึงเกิดขึ้นทันที บางช่วงของการพูดคุยถึงกับมีน้ำเสียงแข็งกร้าวและสวนกลับกันแบบตรงไปตรงมา
💬 ดราม่าพุ่ง! หลังรายการออกอากาศ
ทันทีที่รายการ “โหนกระแส” ตอนดังกล่าวจบลง โลกออนไลน์ก็แทบจะลุกเป็นไฟ #บอยท่าพระจันทร์ #โอ๊ตบางแพ #โหนกระแส ติดเทรนด์บนแพลตฟอร์ม X (Twitter) และ Facebook อย่างรวดเร็ว
หลายคนต่างแสดงความคิดเห็นแตกเป็นสองฝ่าย —
ฝั่งหนึ่งยืนข้าง “บอย ท่าพระจันทร์” โดยชื่นชมว่าแนวคิดของเขามีเหตุมีผลและมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ
อีกฝั่งหนึ่งกลับมองว่า “โอ๊ต บางแพ” มีความจริงใจและใช้ประสบการณ์จริงจากการดูพระมานาน เป็นแนวทางที่จับต้องได้มากกว่า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกันคือ “การโต้วาทีในวันนั้นเข้มข้นและตรงประเด็นที่สุดในรอบปี” จนทำให้ทั้งสองชื่อถูกพูดถึงไปทั่วทุกวงการ
📱 บอย ท่าพระจันทร์ โพสต์ขอบคุณ – ย้ำ “หลักฐานสำคัญกว่าอารมณ์”
หลังจากรายการออกอากาศได้ไม่นาน บอย ท่าพระจันทร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจส่วนตัว ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ พร้อมยืนยันแนวคิดเดิมว่า เขาไม่ได้ต้องการเอาชนะใคร แต่ต้องการให้ “วงการพระเครื่องไทย” มีระบบตรวจสอบที่ชัดเจน ไม่ปล่อยให้ใครก็ได้อ้างว่า “พระแท้” เพียงเพราะพูดเก่งหรือมีชื่อเสียง
บอยเขียนบางช่วงว่า
“ผมไม่ได้เถียงเพื่อชนะ ผมพูดเพื่อให้วงการพระมีมาตรฐานที่ตรวจสอบได้เหมือนงานนิติวิทยาศาสตร์ เราไม่ควรปล่อยให้ของมีค่าทางจิตใจของคนไทยถูกปลอมปนโดยไม่มีหลักฐาน”
โพสต์ดังกล่าวได้รับการแชร์มากกว่าหมื่นครั้งภายในไม่กี่ชั่วโมง หลายคนแสดงความเห็นชื่นชมในความมั่นใจและแนวคิดแบบมืออาชีพของเขา
😮 ด้าน “ดัง พันกร” โผล่คอมเมนต์แรง! เปรียบเปรยสุดแสบ
ในขณะที่กระแสกำลังร้อนแรงอยู่ในโลกออนไลน์ จู่ ๆ “ดัง พันกร” นักร้องชื่อดัง ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความแสดงความเห็นถึงดราม่าครั้งนี้ผ่านเฟซบุ๊กเพจ Dang PanKorn – DK Official โดยใช้ถ้อยคำสุดคมที่ทำให้ชาวเน็ตฮือฮา
“เห็นใจคุณบอย... เหมือนแบงค์พัน ต้องมานั่งฟังแบงค์กาโม่ ตอนแรกบอกว่าถ้าพระทองคำบางกว่าเงิน ทองแดง แสดงว่าพระทองคำนั้นเก๊ พี่หนุ่มเลยควักพระแท้ทองคำมาจากคอให้แกะดู สรุปบางกว่าเงินทองแดง อย่างจี้!”
โพสต์ของดัง พันกร กลายเป็นไวรัลในเวลาไม่นาน มีคนแชร์ต่อเป็นจำนวนมาก พร้อมคอมเมนต์ทั้งขำ ทั้งเห็นด้วย และบางส่วนก็ใช้โอกาสนี้แซวกันสนั่นว่า “วงการพระเครื่องไม่ต่างจากวงการบันเทิงเลยจริง ๆ”
🧠 วงการพระเครื่องสะเทือน – “ตัวตัด” กลายเป็นคำฮิต
หลังจากดราม่าครั้งนี้ คำว่า “ตัวตัด” ที่บอย ท่าพระจันทร์พูดไว้ในรายการ กลายเป็นคำที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในวงการพระเครื่อง มีทั้งคนที่หันมาศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคนิคการวิเคราะห์ด้วยกล้องขยาย รวมถึงคนที่เริ่มตั้งคำถามว่า “ที่ผ่านมาเราดูพระกันแบบถูกต้องหรือยัง?”
เพจพระเครื่องหลายแห่งเริ่มนำเสนอความรู้เรื่อง “การดูตัวตัด” และ “ร่องรอยแม่พิมพ์” อย่างละเอียด เพื่ออธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจว่าทำไมหลักวิทยาศาสตร์ถึงสำคัญต่อการแยกพระแท้ออกจากพระเก๊ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการ
📚 ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ให้ความเห็น
ต่อมามีผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์วัตถุโบราณจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อออนไลน์ว่า แนวคิดของ “บอย ท่าพระจันทร์” ถือว่ามีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง เพราะการดูร่องรอยของการหล่อและแม่พิมพ์สามารถบ่งชี้ได้ว่า พระนั้นถูกสร้างขึ้นในยุคใด หรือผ่านกรรมวิธีแบบไหน ซึ่งเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ซ้ำได้ ต่างจากการดูด้วยตาเปล่าซึ่งอาจเกิดความผิดพลาดสูง
💭 เสียงสะท้อนจากชาวเน็ต
ในโลกโซเชียลยังคงถกเถียงกันไม่หยุด หลายคนแสดงความคิดเห็นว่า ดราม่าครั้งนี้แม้จะดุเดือดแต่กลับเป็น “สิ่งดี” ที่ทำให้วงการพระเครื่องต้องกลับมาทบทวนระบบการตรวจสอบอย่างจริงจัง ขณะที่บางคนมองว่า การใช้คำพูดแรง ๆ ระหว่างรายการอาจสร้างความแตกแยกมากเกินไป
คอมเมนต์หนึ่งที่ได้รับยอดไลก์สูงระบุว่า
“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรือถูก ต่างคนต่างมีแนวทางของตัวเอง แต่อย่าลืมว่าพระเครื่องคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ควรเอามาเถียงกันด้วยอารมณ์ ควรถกด้วยเหตุผลและความเคารพ”
🔎 สรุป : ศึกแห่งศรัทธาหรือศึกแห่งหลักฐาน?
สุดท้าย ดราม่าระหว่าง “บอย ท่าพระจันทร์” กับ “โอ๊ต บางแพ” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการเถียงกันว่า “ใครถูกใครผิด” แต่เป็นการเปิดประเด็นสำคัญให้สังคมหันกลับมามองว่า วงการพระเครื่องไทยจำเป็นต้องมี “มาตรฐานกลาง” ที่ตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส
ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้า การใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์อาจช่วยยกระดับวงการให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ขณะเดียวกัน การเคารพประสบการณ์ของเซียนรุ่นเก่าก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรถูกมองข้าม
🕊️ บทส่งท้าย
ไม่ว่าศึกครั้งนี้จะจบลงอย่างไร แต่สิ่งที่แน่ชัดคือ “โหนกระแส” ได้กลายเป็นเวทีที่เปิดมิติใหม่ให้กับวงการพระเครื่องไทย ทำให้คนทั่วไปได้เห็นว่าการดูพระไม่ได้มีเพียงเรื่องของศรัทธา แต่ยังมีมิติของ “วิทยาศาสตร์–ประสบการณ์–ความเชื่อ” ที่ต้องเดินควบคู่กันไป
และบางที... ดราม่าครั้งนี้อาจไม่ใช่ “สงครามของเซียนพระ” อย่างที่หลายคนมอง แต่คือ “จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง” ที่จะทำให้วงการพระเครื่องไทยโปร่งใสและน่าเชื่อถือกว่าเดิม














