ครม.เคาะ “คนละครึ่งพลัส” แจกเงินสูงสุด 2,400 บาท ใช้ได้ฟู้ดเดลิเวอรี่ด้วย!
📢 ครม. เคาะแล้ว! “คนละครึ่งพลัส” แจกสูงสุด 2,400 บาท เพิ่มวงเงิน-เพิ่มสิทธิ-เพิ่มโอกาส ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี
วันที่ 7 ตุลาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติ เห็นชอบโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ซึ่งเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่จากกระทรวงการคลัง ภายใต้งบประมาณรวมกว่า 44,000 ล้านบาท เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศในช่วงปลายปี 2568 ที่หลายฝ่ายประเมินว่าเป็นช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวจากภาวะโลก
โดยรัฐบาลตั้งเป้าให้โครงการนี้ ครอบคลุมประชาชนไม่เกิน 20 ล้านคน ซึ่งถือเป็นจำนวนที่ใหญ่และใกล้เคียงกับโครงการ “คนละครึ่ง” ในระยะก่อนหน้า แต่ครั้งนี้มีการปรับโฉมใหม่ เพิ่มสิทธิประโยชน์มากขึ้นหลายด้าน ทั้งด้านวงเงิน การเข้าถึงของร้านค้า และกลุ่มเป้าหมายที่เปิดกว้างมากขึ้น
🔹 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ แถลงย้ำ “คนละครึ่งพลัส” คือเรือธงฟื้นเศรษฐกิจปลายปี
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ถือเป็นหนึ่งใน นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นฟื้นฟูความเชื่อมั่นและเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจมักซบเซา
นายเอกนิติกล่าวว่า รัฐบาลตั้งใจให้ “คนละครึ่งพลัส” เป็น โครงการเรือธง (Flagship Project) ที่ต่อยอดจากโครงการเดิมอย่าง “คนละครึ่ง” และ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรง ทั้งในแง่ของการลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และการกระตุ้นให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจฐานราก
“คนละครึ่งพลัสไม่ใช่เพียงโครงการแจกเงิน แต่เป็นการลงทุนในเศรษฐกิจของประชาชน เป็นการสร้างแรงขับเคลื่อนให้ร้านค้ารายเล็กมีรายได้เพิ่มขึ้น และให้ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้นในช่วงปลายปี” — นายเอกนิติ กล่าว
🔹 “พลัส” ทั้ง 5 ด้าน – ยกระดับสิทธิประโยชน์ให้มากกว่าที่เคย
ชื่อของโครงการ “คนละครึ่งพลัส” มาจากแนวคิด “เพิ่มทุกด้าน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม” โดยรัฐบาลได้กำหนด “พลัส” ทั้ง 5 ด้านที่ถือเป็นจุดเด่นของโครงการ ได้แก่
🟢 พลัสที่ 1: เพิ่มช่วงอายุผู้เข้าร่วม
จากเดิมโครงการ “คนละครึ่ง” เปิดให้เฉพาะผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไป แต่ในรอบนี้ ขยายสิทธิให้ผู้มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป สามารถเข้าร่วมได้ เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มเยาวชน นักเรียน นักศึกษา ที่เริ่มมีรายได้จากการทำงานพาร์ทไทม์ ได้เข้าถึงสิทธิของรัฐ
🟢 พลัสที่ 2: เพิ่มวงเงินใช้จ่ายต่อวัน
จากเดิมจำกัดการใช้สิทธิ 150 บาทต่อวัน เพิ่มเป็น 200 บาทต่อวัน เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้จ่ายได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงค่าครองชีพสูง ทั้งค่าน้ำมัน อาหาร และของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวัน
🟢 พลัสที่ 3: เพิ่มสิทธิพิเศษตามสถานะภาษี
รัฐบาลต้องการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าสู่ระบบภาษีอย่างเป็นทางการ จึงได้เพิ่มสิทธิพิเศษในโครงการนี้ คือ
ผู้ที่อยู่ในระบบภาษี ได้รับสิทธิ สูงสุด 2,400 บาทต่อคน
ผู้ที่อยู่นอกระบบภาษี ได้รับสิทธิ 2,000 บาทต่อคน
การแบ่งแบบนี้เป็นการจูงใจให้ประชาชนสมัครเข้าระบบภาษี เพื่อความยั่งยืนของนโยบายด้านเศรษฐกิจในระยะยาว
🟢 พลัสที่ 4: เพิ่มโอกาสให้ร้านค้ารายเล็ก
นอกจากร้านค้าทั่วไปแล้ว “คนละครึ่งพลัส” ยังเปิดให้ ร้านค้ารายเล็กและ Micro SME เข้าร่วมได้ด้วย โดยไม่จำเป็นต้องมีทะเบียนพาณิชย์ขนาดใหญ่ เพียงมีบัญชีพร้อมเพย์และโทรศัพท์สมาร์ตโฟนก็สามารถเข้าร่วมโครงการได้ เพื่อช่วยกระจายรายได้ไปยังผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศ
🟢 พลัสที่ 5: เพิ่มทักษะ (Upskill/Reskill)
รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะของร้านค้า โดยจะจัดอบรมทั้ง การใช้เทคโนโลยีการชำระเงินดิจิทัล การบริหารร้านค้าออนไลน์ และการตลาดยุคใหม่ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถใช้โครงการนี้ต่อยอดธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
🔹 เงื่อนไขและระยะเวลาใช้สิทธิ
สำหรับรายละเอียดการใช้สิทธิ “คนละครึ่งพลัส” มีดังนี้
ผู้มีสิทธิจะได้รับวงเงินตลอดโครงการ
2,400 บาท สำหรับผู้ที่อยู่ในระบบภาษี
2,000 บาท สำหรับผู้ที่อยู่นอกระบบภาษี
ใช้สิทธิได้ ไม่เกิน 200 บาทต่อวัน
ชำระเงินผ่าน แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” (G-Wallet)
ใช้ได้ระหว่างเวลา 06.00–23.00 น.
เริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่ 29 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2568
ผู้ได้รับสิทธิต้อง “เริ่มใช้สิทธิครั้งแรกภายในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ก่อนเวลา 23.00 น.” มิฉะนั้น สิทธิจะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ
🔹 คลังมั่นใจ เงิน 44,000 ล้านบาท ช่วยหมุนเศรษฐกิจเพิ่ม 1.5 เท่า
กระทรวงการคลังคาดว่า งบประมาณ 44,000 ล้านบาท ที่ใช้ในโครงการนี้จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ มากกว่า 66,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราทดทางเศรษฐกิจ (Multiplier Effect) ประมาณ 1.5 เท่า
การใช้จ่ายผ่านแอป “เป๋าตัง” ยังช่วยให้ภาครัฐสามารถ ติดตามพฤติกรรมการใช้จ่ายได้แบบเรียลไทม์ ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจฐานรากมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในด้านการจัดเก็บภาษี และการวางแผนนโยบายระยะต่อไป
🔹 เสียงสะท้อนจากประชาชนและผู้ประกอบการ
หลังข่าวการอนุมัติโครงการ “คนละครึ่งพลัส” แพร่ออกไป โลกออนไลน์ต่างแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง หลายคนมองว่าเป็น “ของขวัญปลายปี” ที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากค่าครองชีพ โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานและแม่บ้านที่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายรายวัน
ขณะที่ผู้ประกอบการร้านอาหาร ร้านกาแฟ และร้านค้ารายเล็ก ต่างก็แสดงความยินดี เพราะโครงการในลักษณะนี้เคยช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงที่มี “คนละครึ่ง” ระยะก่อนหน้า
“ตอนโครงการคนละครึ่งรอบก่อน ลูกค้าแน่นร้านเลยค่ะ ขายของได้มากกว่าปกติ 30-40% หวังว่ารอบนี้จะคึกคักอีก” — เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวในเชียงใหม่ให้สัมภาษณ์
นอกจากนี้ กลุ่มเยาวชนอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีส่วนร่วมเป็นครั้งแรก เพราะถือเป็น โอกาสในการฝึกวางแผนการเงินและการใช้จ่ายอย่างมีวินัย ผ่านระบบดิจิทัลของรัฐ
🔹 นักเศรษฐศาสตร์ชี้ โครงการนี้ช่วย “ประคองเศรษฐกิจ” ช่วงปลายปีได้จริง
นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจแห่งหนึ่ง วิเคราะห์ว่า โครงการลักษณะนี้มีผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น เพราะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศทันที โดยเฉพาะในภาคค้าปลีกและบริการ ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนเสนอว่า รัฐบาลควร วางแผนต่อยอดในระยะยาว เช่น การสนับสนุนให้ร้านค้าใช้เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) อย่างยั่งยืน เพื่อให้เศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตควบคู่กับเศรษฐกิจฐานราก
🔹 “คนละครึ่งพลัส” กับเป้าหมาย “เศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อประชาชน”
อีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญของโครงการนี้ คือการผลักดันให้ประชาชนคุ้นเคยกับ ระบบการชำระเงินดิจิทัล (Digital Payment) ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “เศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อประชาชน” ที่รัฐบาลต้องการให้เกิดการใช้เทคโนโลยีอย่างแพร่หลาย
จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ปัจจุบันมีผู้ใช้ “เป๋าตัง” มากกว่า 35 ล้านบัญชี และตัวเลขนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือต่างๆ เช่น “เราเที่ยวด้วยกัน”, “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ”, “คนละครึ่ง” และล่าสุดคือ “คนละครึ่งพลัส”
🔹 รัฐบาลย้ำ “ไม่มีการหักภาษี” จากเงินที่ได้รับ
กระทรวงการคลังยืนยันว่า เงินที่ประชาชนได้รับในโครงการนี้จะ ไม่ถูกหักภาษี และจะไม่ถูกนับรวมเป็นรายได้ในภาษีบุคคลธรรมดา ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าสิทธิที่ได้รับคือเงินช่วยเหลือโดยตรงจากภาครัฐ ไม่ใช่เงินกู้หรือเงินชดเชยที่จะมีภาระภายหลัง
🔹 สรุปสาระสำคัญของโครงการ “คนละครึ่งพลัส”
รายการ รายละเอียด
งบประมาณรวม 44,000 ล้านบาท
ครอบคลุม ไม่เกิน 20 ล้านคน
ระยะเวลาใช้สิทธิ 29 ต.ค. – 31 ธ.ค. 2568
วงเงินสูงสุด 2,400 บาท (อยู่ในระบบภาษี) / 2,000 บาท (อยู่นอกระบบภาษี)
จำกัดการใช้ 200 บาทต่อวัน
แอปที่ใช้ เป๋าตัง (G-Wallet)
ใช้สิทธิครั้งแรก ภายใน 11 พ.ย. 2568 ก่อน 23.00 น.
เวลาชำระเงิน 06.00 – 23.00 น.
ร้านค้าที่เข้าร่วม ร้านค้าทั่วไป, ร้านรายเล็ก, Micro SME
🔹 บทสรุป – “คนละครึ่งพลัส” ความหวังใหม่ปลายปีของคนไทย
โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ถือเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่รัฐบาลหวังว่าจะเป็น แรงกระตุ้นเศรษฐกิจสำคัญก่อนเข้าสู่ปี 2569 ทั้งในด้านการจับจ่ายของประชาชนและรายได้ของผู้ประกอบการรายย่อย
การเพิ่มสิทธิและขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลในการปรับตัวให้เข้ากับยุคเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าสู่ระบบภาษีและระบบการเงินอย่างโปร่งใส
ไม่ว่าจะมองจากมุมของผู้บริโภคหรือผู้ประกอบการ “คนละครึ่งพลัส” จึงไม่ใช่แค่โครงการแจกเงิน แต่เป็น “การลงทุนในศักยภาพของคนไทย” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้แข็งแรง และสร้างความเชื่อมั่นให้ประเทศเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงในปีหน้า
🟢 สรุปสั้นๆ อีกครั้ง
แจกสูงสุด 2,400 บาท/คน
ใช้ได้วันละ 200 บาท
ผ่านแอป เป๋าตัง G-Wallet
เริ่ม 29 ต.ค. – 31 ธ.ค. 68
ต้องใช้สิทธิครั้งแรกภายใน 11 พ.ย.
โครงการนี้อาจกลายเป็นหนึ่งในมาตรการเศรษฐกิจที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในช่วงปลายปี 2568 เพราะไม่เพียงช่วย “ลดรายจ่าย” แต่ยังช่วย“เพิ่มความหวัง” ให้ประชาชนทั่วประเทศในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจต้องการแรงส่งอย่างที่สุด.





















