คนละครึ่ง 68 มุมมองใหม่ของผู้ใช้งานอย่างเราๆ
ถ้าพูดถึงคำว่า “คนละครึ่ง 68” เชื่อว่าใคร ๆ ก็ต้องหันมาสนใจ เพราะมันคือโครงการที่อยู่คู่กับชีวิตประจำวันของหลายคนมาตลอดหลายปี ตั้งแต่เวอร์ชันแรก ๆ จนถึงตอนนี้ โครงการก็พัฒนารูปแบบมาเรื่อย ๆ ทั้งเงื่อนไข การใช้สิทธิ และการปรับตามนโยบายรัฐบาลแต่ละชุด สำหรับปี 2568 นี้ หลายคนก็กำลังจับตาว่า “คนละครึ่ง 68” จะยังแซ่บเหมือนเดิมหรือไม่ ใช้ง่ายขึ้นจริงไหม และคุ้มค่าเหมือนที่เคยเป็นหรือเปล่า
ในฐานะครีเอเตอร์ที่ได้ลองใช้สิทธิมาเกือบทุกเฟส ฉันอยากมารีวิว + วิเคราะห์ + แชร์ความรู้สึก ว่าโครงการนี้ให้อะไรกับเราบ้าง ทั้งข้อดี ข้อจำกัด และมุมที่บางคนอาจไม่ได้สังเกต เพื่อให้บทความนี้เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่คนอ่านสามารถเอาไปใช้คิดต่อได้
ทำไม “คนละครึ่ง 68” ถึงยังสำคัญอยู่ไหม?
คนละครึ่งเป็นโครงการที่หลายคนพูดว่า “ช่วยได้จริง” เพราะรัฐบาลจ่ายครึ่ง เราจ่ายครึ่ง ฟังดูง่ายๆ แต่ผลลัพธ์คือการกระตุ้นให้เราจับจ่ายมากขึ้น และร้านเล็กๆ ในชุมชนก็ได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นด้วย ในรอบของปี 68 (2568) สิ่งที่เห็นชัดคือ โครงการยังเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเข้าถึงคนทั่วไปที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ค้ารถเข็น ร้านโชห่วย ไปจนถึงร้านกาแฟเล็ก ๆ ก็เข้ามาอยู่ในระบบได้ ยิ่งถ้าเทียบกับช่วงที่เศรษฐกิจซบ ๆ คนละครึ่งก็คือแสงไฟที่ทำให้หลายคนยังมีเงินหมุนเวียน
ประสบการณ์การใช้จริงของฉันกับ “คนละครึ่ง 68”
จำได้ว่าฉันได้สิทธิวันแรก ๆ ก็ตื่นเต้นเหมือนเดิม เปิดแอป “เป๋าตัง” แล้วเจอข้อความสิทธิพร้อมวงเงินให้ใช้ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงติ๊ดจากร้านค้าก็เหมือนเป็นความสุขเล็กๆ ของคนไทย 😂
ลองเล่าฉากจริง ๆ สักวันนะคะ
-
ตอนเช้าไปตลาดสด ซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้ง 40 บาท จ่ายคนละครึ่ง เหลือแค่ 20 บาทในกระเป๋าเงินสด
-
เที่ยงเดินเข้าร้านกาแฟสไตล์โฮมเมดในซอย กาแฟ 55 บาท จ่ายจริง 28 บาทกว่า ๆ
-
เย็นกลับบ้านแวะซื้อต้มยำปลาจากร้านรถเข็น 100 บาท เราจ่าย 50 บาท
คือมันทำให้รู้สึกว่า “เราได้กินเหมือนเดิม แต่เงินเหลือมากขึ้น” ซึ่งถ้ามองในเชิงเศรษฐกิจ เงินส่วนต่างที่เหลือจากการใช้สิทธิ เราก็เอาไปใช้กับอย่างอื่นต่อ เป็นการหมุนเวียนที่แท้จริง
จุดที่รู้สึกว่าดีขึ้นใน “คนละครึ่ง 68”
-
ร้านค้าที่เข้าร่วมเยอะขึ้น
ไปที่ไหนก็ใช้ได้ ไม่จำกัดเฉพาะร้านใหญ่ๆ ร้านเล็กๆ ก็มี QR พร้อม -
ระบบแอปเป๋าตังเสถียรกว่าเดิม
จำได้ว่าหลายปีก่อนกดเข้าไปทีไรค้างบ้าง เด้งบ้าง แต่ตอนนี้แทบไม่เจอแล้ว -
วงเงินต่อวันยืดหยุ่นขึ้น
เราสามารถจัดสรรการใช้สิทธิได้ง่ายขึ้น เช่น อยากเก็บไว้ใช้ตอนเย็นก็ดึงไว้ ไม่ต้องรีบใช้เช้าเหมือนแต่ก่อน
แต่ก็ยังมีข้อจำกัดที่เจอ
-
ร้านค้าที่ไม่เข้าร่วมก็เยอะเหมือนกันโดยเฉพาะร้านอาหารตามสั่งเล็ก ๆ ที่เจ้าของไม่ถนัดเทคโนโลยี บางทีอยากใช้สิทธิแต่ก็อด
-
สิทธิหมดเร็วในบางช่วงถ้าวงเงินของโครงการจำกัด บางครั้งใช้ไม่กี่เดือนก็หมด ทำให้หลายคนพลาดโอกาส
-
ลูกเล่นของร้านค้ามีร้านบางแห่งขึ้นราคาสินค้าช่วงโครงการ เพื่อให้ดูเหมือนเราได้ส่วนลด ทั้งที่จริงราคาพุ่งขึ้นเล็กน้อย อันนี้คนซื้อก็ต้องสังเกตดี ๆ
วิเคราะห์ผลกระทบของ “คนละครึ่ง 68”
-
กับผู้บริโภค ช่วยลดค่าใช้จ่ายรายวันอย่างชัดเจน เฉลี่ยแล้วคนหนึ่ง ๆ ประหยัดได้หลายร้อยถึงพันบาทต่อเดือน
-
กับร้านค้า ได้ลูกค้าเพิ่ม ยอดขายมากขึ้น แต่ก็มีแรงกดดันให้ต้องเข้าร่วมระบบ ไม่งั้นอาจเสียลูกค้าไปให้ร้านข้าง ๆ
-
กับภาพรวมเศรษฐกิจ เป็นการกระตุ้นแบบทันตาเห็น เพราะทุกบาทที่รัฐจ่ายไปจะถูกใช้จริง ไม่ได้นอนนิ่งอยู่ในบัญชี
“คนละครึ่ง 68”
จากมุมมองของฉัน คนละครึ่ง 68 ยังเป็นโครงการที่ช่วยคนได้จริง ๆ ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย แม้จะมีข้อจำกัดบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นนโยบายที่จับต้องได้และสร้างความสุขเล็ก ๆ ให้กับชีวิตประจำวัน
ถ้าให้เลือกพูดในฐานะผู้ใช้ + ฉันมองว่าโครงการนี้คือ คอนเทนต์ที่เล่าได้ไม่รู้จบ เพราะมันมีทั้งประสบการณ์ตรง ความเห็นส่วนตัว และบทวิเคราะห์เศรษฐกิจที่มองเห็นได้จากการกินข้าวจานเดียว
เครดิตรูปภาพ:สร้างภาพจาก AI







