อดีตทหารพรานเขมรแฉ! เหตุยิงแหย่ไทย แผนเดิมยังถูกใช้ซ้ำ
“กรกต เกตุแก้ว” เผยยุทธวิธียิงแหย่ของเขมรที่ภูผี และบทเรียนสงครามที่ทหารไทยต้องรู้
วันที่ 24 กันยายน 2568 เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความตื่นตัวในโลกออนไลน์ เมื่อ กรกต เกตุแก้ว นักรบเดนตายหลายสมรภูมิ ร้อย ทหารพรานจู่โจม 911 ได้ออกมาเผยข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Korakot Ketkaew เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ทหารไทยถูกยิงแหย่จากฝั่งเขมรที่บริเวณ ภูผี
กรกตได้ชี้แจงว่า การยิงแหย่ไม่ได้เป็นการโจมตีเพื่อฆ่าหรือทำลายโดยตรง แต่เป็น ยุทธวิธีทางการทหาร ที่เรียกว่า “การยิงแหย่” ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อ ค้นหาที่วางกำลังของฝ่ายตรงข้าม โดยฝ่ายเขมรพยายามสังเกตว่า กำลังพลและอาวุธของทหารไทยตั้งอยู่ที่ตำแหน่งไหน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการสู้รบใหญ่
ยุทธวิธียิงแหย่คืออะไร?
การยิงแหย่ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางทหารที่มีการใช้มาตั้งแต่สงครามในอดีต โดยมีหลักการง่าย ๆ คือ ยิงปืนเพื่อสังเกตการตอบสนองของฝ่ายตรงข้าม
ตัวอย่างเช่น หากฝ่ายศัตรูยิงแหย่ ทหารฝ่ายที่ถูกยิงสามารถตอบโต้ด้วยการยิงกลับ ฝ่ายศัตรูจะสามารถ ประเมินจำนวนกำลังพล อาวุธ และตำแหน่งที่ตั้งของฝ่ายตรงข้าม ได้อย่างแม่นยำ หลังจากนั้นก็สามารถใช้ ปืนใหญ่หรือยุทโธปกรณ์หนัก ถล่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กรกต เกตุแก้วอธิบายว่า การยิงแหย่เมื่อวานนี้ที่ภูผีไม่ใช่การโจมตีจริงจัง แต่เป็น การสอดส่องและตรวจสอบความพร้อมของทหารไทย หากฝ่ายไทยยิงตอบโต้ ศัตรูจะบันทึกพิกัดไว้และนำไปใช้ในยุทธการต่อไป
ตัวอย่างจากอดีต: การยิงแหย่ในสงครามกับเวียดนามและเขมรฮุนเซน
กรกตได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ในอดีต เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนถึงวิธีการและผลลัพธ์ของการยิงแหย่
ราวสามทุ่มคืนหนึ่ง เวียดนามได้เข้ามายิงปืนแหย่ฐานทหารไทยที่ช่องบก
เวียดนามไม่ทราบว่าฐานทหารไทยมีกำลังพลเท่าไร มีอาวุธอะไรบ้าง
จึงส่งกำลัง 5-6 คน แยกเป็นหลายจุดเพื่อยิงแหย่
ทหารไทยตอบโต้ด้วยอาวุธทุกชนิด ทำให้ข้าศึกสามารถ คำนวณจำนวนคนและอาวุธ ได้ จากนั้นฝ่ายศัตรูถอนกำลังไป แต่ไม่นานต่อมา เสียงระเบิดจากปืนใหญ่ ของเวียดนามพุ่งเข้าใส่ฐานไทยอย่างหนัก
ผลลัพธ์คือฐานถูกทำลาย กำลังพลบางส่วนต้องหลบขึ้นเขาไปยังฐานทหารพรานจู่โจมร้อย 952 ค่ายปักธงชัย และถูกส่งกลับไปยังฐานของตนเองในช่วงเช้า
กรกตสรุปว่า ความเสียหายเกิดขึ้นจากการหลงกลฝ่ายศัตรู เพราะใช้เสียงปืนเป็นตัวล่อและตรวจสอบจุดตั้งของทหารไทย
การยิงแหย่ในสงครามเขมร-ไทย
ก่อนหน้านี้ การยิงแหย่ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว กองทัพเขมรเคยใช้ยุทธวิธีนี้กับทหารไทย ที่ปราสาทตาควายและตาเมือนธม หลายวันติดต่อกัน โดยฝ่ายไทยเลือกที่จะ ไม่ตอบโต้ทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตำแหน่งกำลังพล
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นช่วงวันที่ 24-28 กรกฎาคม ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญให้กับทหารไทยว่า การตอบสนองต้องรอบคอบ และต้องประเมินสถานการณ์อย่างแม่นยำ
เหตุการณ์ล่าสุดที่ภูผี
เมื่อวันที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา ฝ่ายเขมรใช้แผนยิงแหย่อีกครั้งที่ภูผี นักรบไทยและทีมข่าวท้องถิ่นสังเกตเห็นพฤติกรรมดังกล่าวอย่างชัดเจน
กรกตให้ความเห็นว่า แม้ว่าฝ่ายเขมรจะยิงแหย่เป็นกลยุทธ์เชิงสังเกต แต่ แนวโน้มการปะทะรุนแรงยังคงมีสูง โดยนักรบไทยควรเตรียมกำลังให้พร้อม และประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ
เขายังระบุว่า การยิงแหย่ครั้งนี้อาจเป็นสัญญาณก่อนการสู้รบใหญ่ เพราะฝ่ายเขมรใช้ยุทธวิธีเดียวกับสงครามที่ผ่านมา
บทเรียนสำคัญจากยุทธวิธียิงแหย่
การยิงแหย่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็น ยุทธวิธีที่ถูกใช้ในสงครามทั่วโลก เพื่อค้นหาจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม
1. การประเมินกำลังพลและอาวุธ
ศัตรูสามารถสังเกต จำนวนทหารและประเภทอาวุธ ผ่านการยิงแหย่ การตอบโต้ต้องรอบคอบเพื่อไม่ให้ฝ่ายศัตรูได้ข้อมูล
2. การใช้เสียงเป็นตัวล่อ
เสียงปืนสามารถทำหน้าที่เป็น เครื่องมือวัดกำลังและตำแหน่งของฝ่ายตรงข้าม หากฝ่ายไทยตอบสนองเกินความจำเป็น จะเปิดเผยตำแหน่งที่ตั้งให้ศัตรู
3. การวางแผนตอบโต้
นักรบที่มีประสบการณ์จะ รู้ทันกลยุทธ์ของศัตรู และใช้วิธีหลีกเลี่ยงการเปิดเผยจุดตั้งของกำลังพลและอาวุธ
4. การสื่อสารและการเก็บข้อมูล
การยิงแหย่ยังเป็นการ สื่อสารเชิงยุทธวิธี ฝ่ายที่ถูกยิงต้องรายงานและวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อป้องกันการเสียเปรียบทางยุทธศาสตร์
ความเห็นของนักรบผู้เชี่ยวชาญ
กรกต เกตุแก้ว นักรบเดนตายหลายสมรภูมิ ร้อย ทพ.จู่โจม 911 กล่าวว่าการยิงแหย่ในอดีตและปัจจุบันมีความ คล้ายคลึงกันอย่างชัดเจน
"การยิงแหย่คือการตรวจสอบความพร้อมของทหารฝ่ายตรงข้าม
หากฝ่ายไทยตอบโต้ผิดพลาด ข้าศึกจะใช้ข้อมูลนั้นทำลายเราในสงครามจริง"
เขายังเตือนว่า การป้องกันและการตระเตรียม กำลังพลและยุทโธปกรณ์ต้องพร้อมเสมอ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
มุมมองเชิงวิเคราะห์
นักวิเคราะห์มองว่าการยิงแหย่ของเขมรที่ภูผี เป็น ยุทธวิธีคลาสสิก ที่ฝ่ายศัตรูใช้เพื่อวัดความพร้อมของทหารไทย
หากฝ่ายไทยตอบโต้เกินความจำเป็น จะเป็น ข้อมูลสำคัญสำหรับการโจมตีครั้งใหญ่
หากฝ่ายไทยนิ่งและประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ จะทำให้ศัตรู ไม่สามารถคำนวณกำลังพลและอาวุธได้
นอกจากนี้ การยิงแหย่ยังเป็น เครื่องมือจิตวิทยา ทำให้ทหารฝ่ายถูกยิงรู้สึกกดดันและตึงเครียด
สรุป
เหตุการณ์ยิงแหย่ที่ภูผีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 เป็น บทเรียนสำคัญทางยุทธวิธี ให้กับทหารไทยและผู้สนใจด้านความมั่นคง
การยิงแหย่ไม่ใช่การโจมตีจริง แต่เป็น เครื่องมือวัดกำลังและการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ ของฝ่ายศัตรู
การตอบสนองต่อการยิงแหย่ต้องใช้ ความรอบคอบ ประสบการณ์ และการวางแผนอย่างรัดกุม หากทหารไทยสามารถประเมินสถานการณ์ได้แม่นยำ จะสามารถหลีกเลี่ยงการเสียเปรียบและรักษาความปลอดภัยของกำลังพล
ในอนาคต การติดตามพฤติกรรมของฝ่ายศัตรูและเรียนรู้จากยุทธวิธีเก่า ๆ เช่น การยิงแหย่ จะช่วยให้ ทหารไทยพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินและสงครามจริง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ















