ฮุน เซน ลั่นแรง! ไทยปิดด่าน 100 ปีก็ไม่ทำให้กัมพูชาล่มสลาย
สมเด็จฮุน เซน ย้ำจุดยืนกัมพูชา-ไทย หลังปิดชายแดน ขอบคุณไทยที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจในประเทศให้เติบโต
วันที่ 23 กันยายน 2568 สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และอดีตนายกรัฐมนตรีผู้ทรงอิทธิพลของประเทศ ได้ออกมาโพสต์รูปภาพคู่กับลูกชาย นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต พร้อมข้อความที่ถูกจับตามองอย่างมาก เนื่องจากเกี่ยวพันกับสถานการณ์ความสัมพันธ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้เกิดการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา จนส่งผลกระทบทั้งต่อประชาชนและภาคเศรษฐกิจ
แม้ความขัดแย้งจะอยู่ภายใต้การหยุดยิง แต่กระแสข่าวและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ข้อความของสมเด็จฮุน เซน ในครั้งนี้จึงมีความหมายสำคัญ ทั้งในเชิงการเมือง การทูต และเศรษฐกิจ
จุดยืนที่ชัดเจนของกัมพูชา : “กัมพูชาไม่เคยร้องขอไทยเปิดชายแดน”
สมเด็จฮุน เซน ระบุอย่างชัดเจนว่า กัมพูชาไม่เคยเป็นฝ่ายร้องขอให้ไทยเปิดชายแดน แม้หลังจากที่ฝ่ายไทยได้ประกาศปิดด่านเป็นฝ่ายเดียว โดยท่านได้อธิบายว่า
“ประเทศไทยปิดเอง ก็ควรเป็นฝ่ายเปิดเอง ไม่จำเป็นต้องเจรจากับกัมพูชา และเมื่อไทยตัดสินใจเปิด กัมพูชาก็พร้อมที่จะเปิดตามหลังในเวลา 5 ชั่วโมง”
คำกล่าวนี้สะท้อนจุดยืนที่มั่นคงของกัมพูชา ที่ไม่ต้องการถูกมองว่าอยู่ในสถานะ “ผู้ขอ” หรืออ่อนข้อให้ฝ่ายไทย เพราะแม้การปิดชายแดนจะสร้างข้อจำกัดด้านการค้าและการเดินทาง แต่กัมพูชามองว่านี่คือโอกาสในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ
ฮุน เซน : “ต่อให้ไทยปิด 100 ปี กัมพูชาก็ไม่ตาย”
หนึ่งในประโยคที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือการที่สมเด็จฮุน เซน ยืนยันว่า ต่อให้ไทยปิดพรมแดนไปอีก 100 ปี กัมพูชาก็จะไม่ล่มสลาย สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงแค่คำท้าทาย แต่ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนกัมพูชา ว่าประเทศสามารถพึ่งพาตัวเองได้ และไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับการนำเข้าสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านเสมอไป
ท่านยังกล่าวขอบคุณไทยในเชิงประชดประชันว่า การปิดชายแดนครั้งนี้ได้ช่วยผลักดันให้สินค้าที่ผลิตในประเทศกัมพูชาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ชาวกัมพูชาจำนวนมากหันมาใช้สินค้าในท้องถิ่น ส่งผลให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีเสถียรภาพ
ผลลัพธ์ของการปิดชายแดน : เศรษฐกิจท้องถิ่นแข็งแรงขึ้น
ตลอดเวลากว่า 3 เดือนที่ไม่มีการนำเข้าสินค้าจากไทย สมเด็จฮุน เซน ระบุว่า ตลาดกัมพูชาสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว สินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศมีความเพียงพอ ราคาสินค้าไม่พุ่งสูงจนกระทบประชาชน และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ
นี่ถือเป็นการบริหารเศรษฐกิจเชิงมหภาคที่กัมพูชามองว่าประสบความสำเร็จ เพราะไม่เพียงรักษาเสถียรภาพภายใน แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ให้กับผู้ประกอบการและเกษตรกรในประเทศได้ขยายกำลังการผลิต เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด
บทบาทของสังคมออนไลน์และความเงียบของนักการเมือง
สมเด็จฮุน เซน ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างสองประเทศ โดยระบุว่าที่กัมพูชา เรื่องการเปิด-ปิดชายแดนถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ ประชาชนมีการแสดงความเห็นอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ นักการเมือง ผู้นำกองทัพ และฝ่ายบริหารพลเรือน กลับยังคงเงียบเสียง ไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นใด ๆ
ในทางกลับกัน ประเทศไทยมีการพูดถึงเรื่องนี้อย่างกว้างขวางจากทุกระดับ ตั้งแต่ระดับบนลงมาถึงประชาชนทั่วไป ซึ่งสะท้อนถึงความแตกต่างในการสื่อสารทางการเมืองของทั้งสองประเทศ
ญี่ปุ่นกับบทบาทสำคัญในความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
อีกประเด็นที่สมเด็จฮุน เซน กล่าวถึงคือความสัมพันธ์กับญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเรื่องการลงทุนและการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน กัมพูชาได้แสดงท่าทีว่า ยินดีและพร้อมสำหรับความร่วมมือ แต่หากญี่ปุ่นต้องการลงทุนด้านโลจิสติกส์หรือการค้าข้ามแดน ควรติดต่อประสานงานกับทางฝั่งไทยโดยตรง
นี่สะท้อนให้เห็นว่า กัมพูชาต้องการรักษาจุดยืนในระดับนานาชาติ ไม่ใช่เพียงแค่คู่เจรจาของไทย แต่พร้อมที่จะเปิดกว้างให้ประเทศมหาอำนาจอย่างญี่ปุ่นเข้ามามีบทบาทในการผลักดันเศรษฐกิจภูมิภาค
สงครามไม่ใช่ทางออก : การเรียกร้องสันติภาพ
ท้ายที่สุด สมเด็จฮุน เซน ได้ฝากข้อความสำคัญถึงประชาชนว่า
“เราจะไม่สามารถยุติสงครามด้วยสงครามได้ ต้องใช้สันติวิธีในการแก้ไขปัญหา”
นี่คือสารที่สะท้อนถึงประสบการณ์ยาวนานของผู้นำวัย 70 กว่าปี ผู้ผ่านทั้งสงครามกลางเมือง ความขัดแย้งภายใน และวิกฤตทางการเมืองมาแล้วหลายครั้ง ฮุน เซน พยายามย้ำกับคนรุ่นใหม่และประชาชนว่า การอดทนและการใช้สันติวิธีเท่านั้นที่จะสร้างความยั่งยืนในอนาคต
วิเคราะห์ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
แม้สมเด็จฮุน เซน จะพยายามลดทอนน้ำหนักของการปิดชายแดนโดยชี้ให้เห็นข้อดีต่อเศรษฐกิจในประเทศ แต่ในทางปฏิบัติ การปิดชายแดนย่อมสร้างผลกระทบในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น
1. การค้าชายแดน – ไทยถือเป็นคู่ค้าสำคัญของกัมพูชา การหยุดการนำเข้าสินค้าจากไทยย่อมส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการบางส่วน
2. แรงงานและการเดินทาง – ประชาชนที่พึ่งพาการเดินทางข้ามแดนเพื่อทำงานหรือค้าขายย่อมได้รับผลกระทบโดยตรง
3. ภาพลักษณ์ทางการเมือง – การแสดงออกของฮุน เซน ทำให้กัมพูชาดูเป็นฝ่ายเข้มแข็งและมั่นใจในตัวเอง แต่ก็อาจสร้างความตึงเครียดในความสัมพันธ์ทวิภาคี
การเคลื่อนไหวของสมเด็จฮุน เซน ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การเมืองภายในกัมพูชา แต่ยังเกี่ยวพันโดยตรงกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเปิด-ปิดชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นหัวข้อที่ถูกค้นหาและพูดถึงในโลกออนไลน์จำนวนมาก เพราะมีผลกระทบต่อทั้ง เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การค้า และแรงงาน
บทสรุป : จุดยืนที่ไม่เปลี่ยนของกัมพูชา
จากข้อความทั้งหมด สมเด็จฮุน เซน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กัมพูชายึดมั่นในจุดยืนของตนเอง ไม่ยอมลดศักดิ์ศรีเพื่อร้องขอให้ไทยเปิดชายแดน แม้จะต้องเผชิญกับแรงกดดัน แต่กลับมองว่านี่คือโอกาสทองในการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจภายใน
คำพูดที่ว่า “ต่อให้ไทยปิด 100 ปี กัมพูชาก็ไม่ตาย” ไม่เพียงแต่สร้างพลังใจให้กับประชาชน แต่ยังตอกย้ำแนวทางที่กัมพูชาเลือกเดิน — เส้นทางแห่ง ความอดทน การพึ่งพาตนเอง และการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี















