หลุมยุบกลางกรุง...ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ใต้เมือง
เช้าวันนี้ ข่าวใหญ่ที่ทำให้ทั้งเมืองสะดุ้ง คือเหตุถนนทรุดตัว เป็นหลุมลึกขนาดใหญ่กลางกรุงเทพฯ บริเวณหน้าโรงพยาบาลชื่อดัง รถยนต์ที่จอดอยู่ริมถนนถูกดินดูดหายไป กระจกหน้าร้านค้าแตกร้าว ความตื่นตระหนกของคนเดินถนนสะท้อนชัดเจนผ่านคลิปสั้น ๆ ที่แชร์ว่อนโซเชียล
ผู้ว่าฯ ชัชชาติลงพื้นที่ตรวจสอบทันที และให้ข้อมูลเบื้องต้นว่าสาเหตุเกิดจาก “ดินไหลเข้าไปในอุโมงค์ก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน” ทำให้ชั้นดินด้านบนไม่สามารถรับน้ำหนักได้ สุดท้ายจึงยุบกลายเป็นหลุมลึกและกว้างใหญ่
แต่ถนนที่หายวับไป ไม่ได้สะท้อนเพียงความโชคร้ายหรือความผิดพลาดเฉพาะจุด มันคือเครื่องเตือนใจว่า เมืองที่เรายืนอยู่ทุกวันนั้นมีชั้นดิน โครงสร้าง และระบบซ่อนอยู่ใต้เท้าที่เราอาจไม่เคยคิดถึง
ในสายตาคนทั่วไปอย่างพวกเรา หลุมยุบเหมือนหายนะที่เกิดขึ้นแบบฉับพลัน แต่หากมองในเชิงกลไก มันมีเหตุผลรองรับชัดเจน
-
ดินที่ถูกดึงออกไป
การก่อสร้างอุโมงค์หรือโครงการใต้ดิน มักมีความเสี่ยงหากดินรอบ ๆ เคลื่อนตัวหรือถูกน้ำพัดพาเข้าไปสะสมในช่องว่าง เมื่อดินถูกดูดออกจากใต้ถนนทีละน้อย ความแข็งแรงที่ควรค้ำจุนผิวถนนก็หายไป -
ท่อประปาเก่าและการรั่วซึม
กรุงเทพฯ มีท่อจำนวนมากที่ฝังมาตั้งแต่หลายสิบปีก่อน เมื่อท่อแตกรั่ว น้ำที่ซึมออกมาอาจไม่มากพอให้เราเห็นบนผิวถนน แต่สามารถชะล้างดินรอบ ๆ จนเกิดโพรงเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ ขยายตัว -
การจัดการน้ำที่ไม่สอดคล้องกับสภาพเมือง
น้ำฝน น้ำเสีย และน้ำใต้ดิน ล้วนมีพลังพัดพา หากระบบระบายน้ำไม่ได้มาตรฐานหรืออุดตัน น้ำเหล่านี้จะหาทางไหลใหม่ บางครั้งคือการกัดเซาะใต้ถนน
เมื่อดินหายไปใต้ผิว ถนนที่เราเห็นแข็งแรงกลับเหลือเพียง “เปลือกบาง” พอรับน้ำหนักไม่ไหว มันก็พังลงมาอย่างที่เห็น
มนุษย์ทุกยุคสมัยต่างอยู่กับดินและน้ำ เพียงแต่เมืองใหญ่ปัจจุบันซ่อนสิ่งเหล่านี้ไว้หลังคอนกรีต ท่อ และอุโมงค์ เราเดินบนถนนเรียบ ๆ แล้วเผลอลืมไปว่ามีเครือข่ายซับซ้อนซ่อนอยู่ข้างใต้
เราอาจเคยได้ยินคำนี้ “สิ่งที่ไม่ถูกมองเห็น” (the unseen) ว่าเป็นปัจจัยสำคัญต่อวิถีชีวิตของผู้คน เช่น ความเชื่อ ศาสนา หรืออำนาจที่ไม่ได้อยู่ในรูปธรรม กรณีถนนยุบก็คล้ายกัน สิ่งที่กำหนดความปลอดภัยของเราคือเครือข่ายใต้ดินที่แทบไม่มีใครได้เห็นมาก่อน
เมื่อเกิดหลุมยุบ เราไม่ได้ตกใจแค่ความเสียหาย แต่ยังตื่นตระหนกเพราะตระหนักว่าพื้นที่ที่เราเชื่อมั่นมาตลอดว่า “มั่นคง” จริง ๆ แล้วเปราะบางกว่าที่คิด
หากมองให้กว้างกว่าวิศวกรรม นี่คือปัญหาทางสังคมและการจัดการเมือง
-
ความเชื่อมั่น
เมืองคือพื้นที่ที่คนควรไว้ใจได้ ว่าถนนที่เดินหรือขับรถจะปลอดภัย การที่ถนนยุบกลางกรุงทำให้ความเชื่อมั่นถูกสั่นคลอน ทั้งในหมู่ประชาชนและนักลงทุน -
ความเหลื่อมล้ำทางพื้นที่
หลายครั้งเราพบว่าหลุมยุบหรือท่อแตกเกิดซ้ำซากในบางย่าน ซึ่งมักเป็นย่านที่ระบบโครงสร้างพื้นฐานเก่า แต่ไม่ได้รับการปรับปรุงเท่ากับพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ นี่สะท้อนความไม่เสมอภาคของการดูแลเมือง -
การสื่อสารและความรับผิดชอบ
เมื่อเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้น ประชาชนต้องการคำอธิบายและแผนแก้ไขที่ชัดเจน ไม่ใช่เพียงการอุดหลุมแล้วเดินหน้าต่อ หากหน่วยงานรัฐไม่สามารถสื่อสารตรงไปตรงมา ความไม่ไว้วางใจก็จะทับถม
เรามักคิดว่าเมืองใหญ่คือสิ่งมั่นคง แข็งแรง แต่จริง ๆ แล้วเมืองคือสิ่งก่อสร้างที่ต้องต่อสู้กับธรรมชาติทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำฝน ดินเคลื่อนตัว หรือน้ำใต้ดินที่พยายามหาช่องทางใหม่ เมืองเปรียบเหมือน “แพใหญ่” ที่ลอยอยู่บนแม่น้ำดินและน้ำใต้พื้น เราจึงต้องยอมรับว่าความเปราะบางคือสภาวะปกติที่ต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอ
ถนนยุบครั้งนี้ควรเป็น “บทเรียนรวม” ของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ไม่ใช่แค่เรื่องซ่อมหลุมให้เสร็จ แต่คือการชวนคิดต่อว่า:
-
ระบบตรวจสอบท่อและโครงสร้างใต้ดินเราทำต่อเนื่องจริงหรือไม่
หรือรอจนเกิดปัญหาใหญ่แล้วค่อยลงมาดู -
ข้อมูลความเสี่ยงควรเปิดเผยหรือไม่
ประชาชนมีสิทธิรู้ว่าบ้านหรือถนนละแวกตนตั้งอยู่บนโครงสร้างแบบไหน มีประวัติการรั่วซึมหรือทรุดตัวมาก่อนหรือเปล่า -
การทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ ซ้อนทับกันหรือเปล่า
บางครั้งปัญหามาจากการที่หลายหน่วยงานดูแลพื้นที่เดียวกัน แต่ไม่ประสานข้อมูล จนกลายเป็นช่องโหว่
หลุมยุบครั้งนี้อาจกลืนถนน รถยนต์ และความมั่นใจของผู้คนไป แต่สิ่งที่ไม่ควรหายไปด้วยคือ “ความรับผิดชอบ” และ “การปฏิรูปการจัดการเมือง”
เราจึงควรถามคำถามเชิงนโยบายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า:
-
กรุงเทพฯ มีระบบ “ตรวจสุขภาพเมืองใต้ดิน” ที่ทำประจำปีหรือยัง?
-
ใครคือผู้รับผิดชอบหลัก หากหลุมยุบเกิดขึ้นอีกในอนาคต?
-
เราจะทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานได้มากขึ้นอย่างไร?
-
เมืองหลวงของประเทศที่มีประชากรหลายล้าน ควรมีมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่?
คำถามเหล่านี้ไม่ได้หวังแค่คำตอบบนเวทีแถลงข่าว แต่หวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริงที่ลงไปถึงรากของระบบ
หลุมยุบคือเรื่องใต้ดินที่โผล่ขึ้นมาให้เราเห็นบนผิวเมือง มันเตือนเราว่าเมืองไม่ใช่แค่ถนน ตึก และรถไฟฟ้า แต่คือสิ่งมีชีวิตที่ต้องดูแลรักษา หากเรายังปล่อยให้ปัญหาซ่อนอยู่ใต้พื้น วันหนึ่งมันจะกลับมาปรากฏบนผิวเมืองในรูปแบบที่เราไม่อยากเห็น
เมืองที่ดีไม่ใช่เมืองที่ไร้ปัญหา แต่คือเมืองที่ยอมรับความเปราะบาง และเลือกจะจัดการกับมันอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม


















