กฎหมายใหม่ในยุคเมตาเวิร์ส: เมื่อการดูถูกอวตารเท่ากับการดูหมิ่นบุคคลจริง
ในยุคที่โลกดิจิทัลและโลกจริงเริ่มหลอมรวมกันมากขึ้นเรื่อยๆ คำถามทางกฎหมายที่ซับซ้อนก็เริ่มปรากฏขึ้น ล่าสุด ศาลเกาหลีใต้ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ที่น่าสนใจในคดีความที่ชายชาวเกาหลีใต้ถูกฟ้องร้องและตัดสินว่ามีความผิดฐานหมิ่นประมาท จากการที่เขาไปวิพากษ์วิจารณ์รูปลักษณ์ของอวตารดิจิทัล
คดีนี้เกิดขึ้นกับกลุ่มไอดอลเสมือนจริง (Virtual Idol) ชื่อดัง "PLAVE" ซึ่งสมาชิกทั้งห้าคนจะปรากฏตัวในรูปแบบอวตารที่สร้างจากคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ โดยมีนักแสดงตัวจริงอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวผ่านเทคโนโลยีจับภาพเคลื่อนไหว (motion-capture) ซึ่งตัวตนที่แท้จริงของนักแสดงเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ
เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว จำเลยได้โพสต์ข้อความดูถูกและหยาบคายบนโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับอวตารของวง PLAVE โดยใช้ถ้อยคำที่รุนแรง เช่น "ทนดูบรรยากาศผู้ชายเกาหลีแบบนี้ไม่ได้" และ "ไม่ใช่ปัญหาด้านเทคนิค แต่เป็นความสามารถที่ห่วยแตกของตัวจริง" เขายังกล่าวอีกว่าหากอวตารดูไม่ดี ตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังก็คงไม่ต่างกัน
สมาชิกวง PLAVE ตัวจริงซึ่งได้รับความเดือดร้อนทางจิตใจจากข้อความดังกล่าว ได้ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย โดยจำเลยได้โต้แย้งว่าคำพูดของเขามุ่งเป้าไปที่ตัวละครสมมติที่มีตัวตนไม่เหมือนกับบุคคลจริงที่อยู่เบื้องหลัง แต่ศาลแขวงอึยจองบูในจังหวัดคยองกีได้ปฏิเสธข้อกล่าวอ้างนี้
ศาลวินิจฉัยว่าการดูถูกอวตารเท่ากับเป็นการหมิ่นประมาทบุคคลที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลัง โดยให้เหตุผลว่าในยุคเมตาเวิร์ส อวตารไม่ใช่แค่ภาพเสมือนจริง แต่เป็นรูปแบบหนึ่งของการแสดงออกตัวตนและการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของผู้ใช้ หากอวตารนั้นเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางว่าเป็นตัวแทนของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง การดูถูกอวตารก็ถือเป็นการหมิ่นประมาทบุคคลนั้นเช่นกัน
การตัดสินของศาลในครั้งนี้ถือเป็นกรณีแรกที่สร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายในประเด็นสิทธิของตัวละครดิจิทัล ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของกฎหมายในการนิยาม "ความเสียหาย" และ "ตัวตน" ในยุคดิจิทัล โดยยอมรับว่าอวตารเป็นส่วนขยายของตัวตนส่วนบุคคล และผู้ที่สร้างความเสียหายต่ออวตารก็ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่แท้จริง
แม้ว่าศาลจะสั่งให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่สมาชิกแต่ละคนของวงในจำนวนที่น้อยกว่าที่เรียกร้องในตอนแรก (100,000 วอน หรือประมาณ 2,600 บาทต่อคน) แต่คดีนี้ก็เป็นหมุดหมายสำคัญที่เตือนให้ผู้คนตระหนักว่า โลกออนไลน์ไม่ใช่พื้นที่ที่ใครจะพูดอะไรก็ได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะคำพูดที่ดูเหมือนจะไร้สาระและมุ่งเป้าไปที่ "ตัวละคร" หรือ "อวตาร" ก็อาจส่งผลกระทบถึงบุคคลจริงและมีผลทางกฎหมายตามมาได้เช่นกัน






















