คนเขมรเชื่อ! ไทยใช้แก๊สพิษ-ทรมานทหาร แห่แบนสินค้าไทย
นักธุรกิจแชร์ประสบการณ์ตรงจากพนมเปญ: คนกัมพูรเชื่อข่าว “ไทยใช้แก๊สพิษทรมานเชลยศึก” และกระแสต่อต้านสินค้าไทยรุนแรง
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงนี้กลับมาสร้างความตึงเครียดอีกครั้ง ไม่เพียงแต่เรื่องการทหารและการเมืองเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อความสัมพันธ์ของประชาชนทั่วไปและธุรกิจไทยในกัมพูชาอย่างชัดเจน โดยล่าสุดผู้ใช้เฟซบุ๊ก Shota Tokuda นักธุรกิจที่ทำธุรกิจในกัมพูชา ได้โพสต์เล่าประสบการณ์และมุมมองของชาวเขมรต่อประเทศไทย ทำให้เห็นภาพรวมของความตึงเครียดและผลกระทบเชิงธุรกิจ
โพสต์ของ Shota Tokuda ระบุว่าเขาได้เดินทางไปเยี่ยมพนักงานและลูกค้าที่ พนมเปญ โดยใช้วีซ่าธุรกิจ ซึ่งก่อนหน้านี้การเข้าออกประเทศกัมพูชาเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว แต่ในช่วงนี้ พาสปอร์ตไทยถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด นักธุรกิจไทยหลายคนถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ระดับสูงถามเกี่ยวกับบริษัทและธุรกิจอย่างละเอียด
การตรวจสอบเข้มข้นของคนไทยที่เข้ากัมพูชา
Shota Tokuda เล่าว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพาสปอร์ตของเขา พบว่าเขาเดินทางไปยังประเทศอื่น เช่น อินโดนีเซีย ก่อนเข้ากัมพูชาในช่วงก่อนเกิดเหตุปะทะชายแดน ทำให้เจ้าหน้าที่อนุญาตให้เข้าประเทศได้ แต่ ขาออกจากสนามบินใหม่ของพนมเปญก็ถูกตรวจสอบพาสปอร์ตทุกหน้าอย่างละเอียดเช่นกัน
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึง มาตรการตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้นสำหรับนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวไทย ซึ่งเกิดจากความตึงเครียดทางการเมืองและความเชื่อมโยงข่าวลือเกี่ยวกับการใช้แก๊สพิษทรมานเชลยศึก
บรรยากาศในเมืองพนมเปญ
Shota Tokuda เล่าว่าในเมืองพนมเปญมี ป้ายข้อความสนับสนุน ฮุน เซน และกองทัพกัมพูชา รวมถึงข้อความปลุกใจให้ประชาชนสามัคคีปกป้องแผ่นดินจากผู้รุกรานติดเต็มเมือง
รถสามล้อหลายคันติดสติกเกอร์โจมตีประเทศไทยว่าเป็นผู้รุกรานและโจมตีก่อน
ป้ายโฆษณาของธนาคารและห้างร้านบางแห่งแสดงข้อความให้กำลังใจกองทัพ
ร้านค้าหลายแห่งติดสติกเกอร์ปิดคำภาษาไทยและ ธงชาติไทย
นอกจากนี้ยังมี กระแสต่อต้านสินค้าไทยอย่างรุนแรง บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok และ Facebook ของฝั่งกัมพูชา
กระแสต่อต้านสินค้าไทย
Shota Tokuda เผยว่าในช่วงนี้ชาวเขมรจะ ตรวจสอบเลข Barcode ของสินค้า ก่อนซื้อ โดยเลขที่ขึ้นต้นด้วย 885 เป็นสินค้าไทย แต่จะเลือกซื้อสินค้า จากกัมพูชา อินโดนีเซีย และจีน มากกว่า
สินค้าไทยจะถูกบูลลี่ว่าเป็นการสนับสนุนผู้รุกราน
การซื้อสินค้าไทยอาจถูกถ่ายคลิปประจานใน TikTok
เขายกตัวอย่างว่าเขาไปซื้อ เบียร์ช้าง ที่ Makro จำนวน 24 กระป๋องราคา 400 บาท และ นมเมจิ ก็ถูกกลุ่มคนเขมรเดินผ่านแล้วพูดตำหนิ
ผลกระทบต่อร้านค้าและธุรกิจไทย
Shota Tokuda เล่าว่าร้านค้าที่เป็นลูกค้าของเขาบางแห่ง ประกาศขอแบนสินค้าไทย แต่ร้านค้าส่วนใหญ่ยังสนับสนุน เนื่องจากเข้าใจว่า บริษัทของเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ทำให้ สินค้าไทยขายยากขึ้นอย่างมาก โดยรัฐบาลกัมพูชาประกาศให้ หน่วยงานราชการเลิกใช้สินค้าจากไทย ส่งผลให้ออเดอร์จากหน่วยงานราชการถูกยกเลิกทั้งหมด
นอกจากสินค้าไทยแล้ว แบรนด์ต่างประเทศที่มีโรงงานในไทย เช่น SC Johnson, Unilever, P&G ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ทำให้บางบริษัทประกาศนำสินค้า จากโรงงานอินโดนีเซียและเวียดนาม มาจำหน่ายแทน
สินค้าแฟชั่นและความนิยมเชิงสัญลักษณ์
Shota Tokuda ยังเล่าว่าร้านขายเสื้อผ้าในตลาดหันมาขาย เสื้อผ้าที่สื่อถึงความรักชาติและการต่อต้านไทย เช่น
เสื้อยืดลายรถถัง T-55
จรวด BM-21
ปราสาทตาเมือนธม
เสื้อทหารกอดแผ่นดินเขมร
เสื้อ “Don’t Thai to Me”
บางคนซื้อสินค้าเหล่านี้เป็นของฝาก เพื่อแสดงออกถึง แนวคิดความรักชาติและการสนับสนุนกองทัพกัมพูชา
การสื่อสารและความเข้าใจระหว่างประเทศ
โพสต์ของ Shota Tokuda เน้นย้ำว่าเขา ไม่ได้มีเจตนาสร้างความเกลียดชัง แต่ต้องการให้ผู้อ่าน เข้าใจมุมมองและความรู้สึกของชาวเขมรในช่วงที่สถานการณ์ตึงเครียด
ชาวเขมรเชื่อข่าวลือเกี่ยวกับการใช้แก๊สพิษทรมานเชลยศึก
ทำให้เกิด กระแสต่อต้านสินค้าและสัญลักษณ์ไทย อย่างรุนแรง
ส่งผลต่อธุรกิจไทยในกัมพูชาโดยตรง
ข้อคิดเชิงธุรกิจและการเตรียมตัว
สำหรับนักธุรกิจไทยที่ต้องทำงานในกัมพูชา Shota Tokuda แนะนำให้
1. เตรียมพาสปอร์ตและเอกสารธุรกิจให้พร้อม เพราะมีความเป็นไปได้ที่จะถูกตรวจสอบอย่างละเอียด
2. ติดตามข่าวสารและกระแสโซเชียลของกัมพูชา เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค
3. ปรับกลยุทธ์การตลาดและการจัดส่งสินค้า เช่น การนำเข้าจากประเทศอื่นแทนไทยในช่วงวิกฤติ
4. เคารพกฎหมายและระเบียบของท้องถิ่น เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความเชื่อมั่นกับลูกค้า
สรุป
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางการทหารและการเมือง แต่ยังมีผลกระทบอย่างมากต่อ ธุรกิจและชีวิตประจำวันของคนไทยที่อยู่ในกัมพูชา
จากประสบการณ์ของ Shota Tokuda เราเห็นว่า
กระแสข่าวลือและข้อมูลผิด ๆ สามารถ เปลี่ยนทัศนคติของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว
สินค้าไทยและแบรนด์ต่างประเทศที่ผลิตในไทยได้รับผลกระทบทันที
นักธุรกิจไทยต้องเตรียมตัวและวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง
เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความขัดแย้งระหว่างประเทศสามารถขยายผลไปถึงเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตของประชาชนและนักธุรกิจ ดังนั้นการเข้าใจมุมมองของประชาชนท้องถิ่นและปรับตัวให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ















