เผยภาพแกนนำพระเขมร บ้านหนองหญ้าแก้ว อดีตผู้บัญชาการแนวหน้า
เปิดภาพเก่า! แกนนำพระเขมรบ้านหนองหญ้าแก้ว ผู้เคยขู่ยิงทหารไทยที่ “ปราสาทตาเมือนธม” กลับมาโผล่บัญชาการแนวหน้า
สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชายังคงเป็นที่จับตาของประชาชนจำนวนมาก แม้ว่าจะไม่มีการปะทะด้วยอาวุธหนักระหว่างทหารทั้งสองประเทศเหมือนในอดีต แต่ความตึงเครียดยังปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ โดยเฉพาะในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว ซึ่งตลอดหลายปีมานี้ถือเป็น “จุดร้อน” ที่มักมีเหตุความไม่สงบเกิดขึ้นเป็นระยะ
ล่าสุด ได้มีการขุดภาพเก่าและรายงานใหม่ที่ทำให้สังคมไทยตื่นตัวอีกครั้ง เมื่อมีการเผยแพร่ภาพของ แกนนำพระเขมร บ้านหนองหญ้าแก้ว ที่เคยมีบทบาทในเหตุปะทะชายแดนเมื่อหลายปีก่อน โดยพระสงฆ์รูปนี้ถูกเปิดเผยว่า เคยสวมจีวรสีเข้มและลงพื้นที่แนวหน้า ถึงขั้น ขู่ยิงทหารไทยหากปิดปราสาทตาเมือนธม และยังนั่งบัญชาการร่วมกับกำลังทหารกัมพูชา
เหตุการณ์ล่าสุดที่บ้านหนองหญ้าแก้ว
เมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา เวลาประมาณ 18.35 น. เพจ Army Military Force รายงานว่าได้เกิดเหตุความวุ่นวายขึ้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยกลุ่มที่ถูกระบุว่าเป็น “แก๊งแครอท” จากฝั่งกัมพูชา ได้บุกเข้ามาในพื้นที่จนเกิดความตึงเครียด
สถานการณ์ยืดเยื้อจนถึงเวลาประมาณ 22.00 น. กลุ่มดังกล่าวยังคงปักหลักในพื้นที่ ไม่ยอมถอยกลับ อีกทั้งยังเข้าพักค้างแรมในวัดวาอารามของไทยโดยไม่ปฏิบัติกิจสงฆ์ตามสมณเพศ สร้างความไม่พอใจแก่ชาวบ้านฝั่งไทยเป็นอย่างมาก
ที่น่าจับตามองคือ การปรากฏตัวของ พระสงฆ์แกนนำ ที่เคยมีบทบาทสำคัญในเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชาในอดีต ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณอันตรายที่อาจบ่งชี้ถึงการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์
ความทรงจำในอดีต: พระเขมรผู้บัญชาการแนวหน้า
เมื่อย้อนกลับไปในช่วงหลายปีก่อน เหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย–กัมพูชาในหลายพื้นที่ รวมถึง ปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ได้สร้างความสูญเสียทั้งสองฝ่ายอย่างมาก
ท่ามกลางความรุนแรงนั้น ปรากฏภาพพระสงฆ์ชาวกัมพูชารูปหนึ่ง สวมจีวรสีเข้ม (สิรักแดง) อยู่แนวหน้า กิน–นอนร่วมกับกำลังทหารกัมพูชา และทำหน้าที่เสมือน ผู้บัญชาการภาคสนาม
รายงานระบุว่า พระสงฆ์รูปนี้ถึงขั้นเคยขู่ทหารไทยว่า
“หากทหารไทยพยายามปิดปราสาทตาเมือนธม จะยิงตอบโต้ทันที”
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้พระรูปนี้ถูกจับตามองในฐานะ “พระสายแข็ง” ที่มีบทบาทเกินกว่าพระสงฆ์ปกติ และถูกเชื่อมโยงว่าเป็นแกนนำชักใยเบื้องหลังการเคลื่อนไหวหลายครั้ง
ความเคลื่อนไหวล่าสุด – พระแกนนำกลับมา
จากภาพและข้อมูลที่ปรากฏในเหตุการณ์บ้านหนองหญ้าแก้ว พระเขมรรูปดังกล่าวได้กลับมาโผล่อีกครั้ง พร้อมเข้าร่วมในเหตุจลาจรครั้งล่าสุด โดยมีการยืนยันจากหลายแหล่งข่าวว่าคือบุคคลเดียวกันกับผู้ที่เคยบัญชาการแนวหน้าในอดีต
การกลับมาของพระแกนนำรายนี้สร้างความกังวลให้กับฝ่ายไทยอย่างมาก เนื่องจากสะท้อนว่า ความขัดแย้งระหว่างประชาชนกัมพูชากับฝ่ายไทยในพื้นที่ชายแดน อาจไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์ธรรมดา แต่มีการวางแผนและชักใยอยู่เบื้องหลัง
การเกณฑ์ประชาชน – ยุทธวิธีสร้างแรงกดดัน
รายงานระบุว่า ผู้ว่าฯ เตียเมียนเจย ฝั่งกัมพูชา ได้มีการเกณฑ์ประชาชนทั้งชาย หญิง และเด็กเข้ามาร่วมรื้อแนวลวดหนามของไทย และยั่วยุทหารไทยจนเกิดการกระทบกระทั่ง จนมีทหารไทยบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง
พฤติกรรมดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการใช้ ยุทธวิธี “ประชาชนปะทะทหาร” เพื่อสร้างแรงกดดันในเชิงการเมืองและภาพลักษณ์ต่อสังคมโลก โดยหวังให้ไทยถูกมองว่าเป็นฝ่ายใช้ความรุนแรงกับพลเรือน
กำนันลีและบทบาทในพื้นที่
นอกจากพระแกนนำแล้ว ยังมีรายงานว่ากำนันลี หนึ่งในผู้นำท้องถิ่นฝั่งกัมพูชา ได้เกณฑ์ชาวบ้านจำนวนมากมาปักหลักค้างคืนร่วมกับกลุ่ม “แก๊งแครอท” ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น
การที่ชาวบ้านถูกดึงเข้ามามีส่วนร่วมในเหตุการณ์ลักษณะนี้ ทำให้ความขัดแย้งมีแนวโน้มจะขยายวงกว้าง และยากต่อการควบคุม
ความหมายเชิงสัญลักษณ์ของพระสงฆ์ในความขัดแย้ง
พระสงฆ์ในกัมพูชามีบทบาทเชิงสังคมและการเมืองสูงมาก การที่พระแกนนำลงมาอยู่แนวหน้าในการปะทะ จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการส่งสัญญาณว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีความชอบธรรมในมุมมองของฝั่งกัมพูชา
ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยก็มองว่าการที่พระสงฆ์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งเช่นนี้ เป็นการละเมิดหลักสมณเพศและสร้างความตึงเครียดโดยไม่จำเป็น
ปฏิกิริยาในสังคมไทย
หลังภาพและรายงานดังกล่าวถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ คนไทยจำนวนมากแสดงความไม่พอใจและกังวลกับการกลับมาของพระแกนนำรายนี้ โดยมีการตั้งคำถามว่า
เหตุใดพระสงฆ์จึงเข้ามามีบทบาทในเหตุจลาจรชายแดน?
ทำไมทางการกัมพูชาจึงปล่อยให้พระสงฆ์มีส่วนร่วมกับความรุนแรง?
ฝ่ายไทยควรรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร?
เสียงสะท้อนจากสังคมส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า เหตุการณ์นี้ไม่ควรถูกมองข้าม เพราะอาจเป็นสัญญาณของความขัดแยงที่อาจปะทุขึ้นอีกครั้งในอนาคต
ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงวิเคราะห์ว่า การที่พระแกนนำกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง อาจบ่งชี้ถึงการจัดตั้งหรือการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ที่มีการวางแผนล่วงหน้า ไม่ใช่เพียงการรวมตัวโดยธรรมชาติของชาวบ้าน
การนำพระสงฆ์เข้ามาเกี่ยวข้องยังเป็นกลยุทธ์สร้างภาพลักษณ์ หากเกิดเหตุปะทะจนพระได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ฝ่ายตรงข้ามก็สามารถใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองได้ทันที
สรุป
เหตุการณ์ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว ได้สะท้อนให้เห็นว่า ความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชายังไม่คลี่คลาย แม้จะไม่มีการสู้รบด้วยอาวุธหนักเหมือนในอดีต แต่การยั่วยุและความขัดแย้งระดับประชาชนยังคงดำเนินอยู่
การกลับมาของ แกนนำพระเขมร ผู้เคยขู่ยิงทหารไทยที่ปราสาทตาเมือนธม เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ความขัดแย้งครั้งนี้มีมิติที่ซับซ้อนและอาจไม่ใช่เรื่องเล็ก
ฝ่ายไทยจำเป็นต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเสริมสร้างความเข้าใจในสังคม เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์บานปลายกลายเป็นวิกฤตชายแดนอีกครั้ง















