เดือด! น้องสาวออม สุชาร์ แฉคลิปเสียงคู่กรณี เจอหลักฐานเด็ดในอีเมล
หลักฐานเด็ดโผล่กลางรายการโหนกระแส! สุพัตรา มานะยิ่ง น้องสาวออม สุชาร์ เปิดใบเสนอราคา – คลิปเสียงคู่กรณียอมรับ ทำแบรนด์แข่งจริง
วงการบันเทิงและธุรกิจความงามร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังจากกรณีดราม่าธุรกิจร้อยล้านของแบรนด์ Fleen Beauty ที่เกี่ยวพันกับนักแสดงชื่อดัง ออม สุชาร์ มานะยิ่ง และอดีตหุ้นส่วน พริม ณัฐชา ชุณหะ ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองในสังคม ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 รายการ โหนกระแส ได้กลายเป็นเวทีสำคัญในการเปิดเผย “หลักฐานเด็ด” จากฝั่งของ สุพัตรา มานะยิ่ง น้องสาวของออม สุชาร์ ที่ออกมาเล่าความจริงและนำเอกสารชิ้นสำคัญมาแสดงกลางรายการ
จุดเริ่มต้นของปัญหา: อีเมลต้องสงสัยและใบเสนอราคาปริศนา
สุพัตราเล่าว่า เรื่องทั้งหมดเริ่มจากการตรวจสอบ อีเมลของบริษัท Fleen Beauty ซึ่งพบความผิดปกติบางอย่าง เธอกล่าวว่า
“เราไม่ได้พบแค่โลโก้แบรนด์อื่น แต่เราพบใบเสนอราคาของบริษัทอื่นที่ส่งมาให้ในอีเมลของบริษัท ฟลิน”
สิ่งที่ทำให้เธอและทีมงานกังวลคือ ใบเสนอราคาดังกล่าวเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่อยู่ใน ไลน์สินค้าเดียวกับ Fleen Beauty แต่กลับถูกส่งไปในนามของบริษัทอื่น ซึ่งชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ว่า อาจมีการ “ทำแบรนด์ใหม่แข่ง” โดยที่ไม่ได้แจ้งหุ้นส่วนรับรู้
คำถามตรง ๆ ที่กลายเป็นจุดแตกหัก
หลังจากเจอหลักฐานในอีเมล สุพัตราได้เล่าว่า ได้มีการนัดพบ พริม ณัฐชา และสามี เพื่อพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา
คำถามที่ถูกยิงใส่คือ
“เกิดอะไรขึ้น คุณไปทำ RAD 1, RAD 2 มาหรือเปล่า? คุณจะกลับมาทำแบรนด์เองหรือ ทำไมไม่บอกกัน?”
คำตอบจากฝั่งพริมคือ“ก็ว่าจะบอกอยู่เหมือนกัน แต่ยังไม่มีเวลาที่จะบอก”
คำตอบนี้ถูกตีความว่าเป็น การยอมรับโดยตรง ว่ามีการกลับไปทำแบรนด์แข่งจริง แต่ไม่ได้มีการแจ้งหุ้นส่วนอย่างออม สุชาร์ ให้ทราบล่วงหน้า
เปิดคลิปเสียงกลางรายการ: ยอมรับหรือไม่?
ในรายการโหนกระแส วันนั้นสุพัตราและทีมงานยังได้นำ คลิปเสียงการสนทนา ที่อ้างว่ามีเสียงคล้ายกับพริม มาปล่อยกลางรายการ โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งมีการพูดว่า
“จริง ๆ หนูตั้งใจจะบอกพี่ออม แต่หนูก็รอจะบอก ซึ่งจริง ๆ อันที่พี่ออมเห็น มันยังเป็นซากอยู่เลย... แต่หนูก็มีไทม์มิ่งที่หนูจะบอกพี่ออมเหมือนกัน เรื่องที่พี่ออมเสียใจ หนูเข้าใจ แล้วหนูก็เสียใจเหมือนกัน ที่พี่ออมเสียใจ”
ข้อความนี้ถูกมองว่าเป็นการ ยอมรับ間接 (indirect admission) ว่ามีการดำเนินการในเรื่องแบรนด์ใหม่จริง แม้จะยังไม่ถึงขั้นออกสู่ตลาด แต่การปกปิดไม่บอกหุ้นส่วนก็ถือเป็นจุดที่ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจอย่างมาก
วิเคราะห์จากมุมกฎหมาย: ความเห็นของ “ทนายแก้ว”
ภายในรายการยังมี ทนายแก้ว ร่วมวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย โดยเขามองว่า
หากมีการตกลงกันชัดเจนตั้งแต่แรกว่า “ห้ามทำแบรนด์แข่ง” การที่อีกฝ่ายแอบทำย่อมถือเป็นการละเมิดข้อตกลง
บทสนทนาที่เปิดเผยในรายการสะท้อนว่า ฝั่งออม สุชาร์ เพิ่งจะมาทราบเรื่องนี้ ไม่ได้มีการรับรู้มาก่อน
หากมีการพูดคุยตกลงกันไว้แล้วจริง การสนทนาควรมีลักษณะเป็นการ ขอโทษ สำหรับการผิดสัญญา แต่จากคลิปกลับแสดงออกว่าเพิ่งจะยอมรับ ทำให้สถานการณ์ยิ่งชัดว่า “ยังไม่มีการพูดคุยมาก่อน”
ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์
สำหรับธุรกิจเครื่องสำอางและความงาม ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ดราม่านี้ส่งผลกระทบหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น
1. ความเชื่อมั่นของลูกค้า – ผู้บริโภคอาจตั้งคำถามต่อความโปร่งใสในการบริหาร
2. ความสัมพันธ์หุ้นส่วน – เมื่อหุ้นส่วนไม่สามารถไว้ใจกันได้ ธุรกิจย่อมสั่นคลอน
3. มูลค่าทางการตลาด – ดราม่าในที่สาธารณะอาจทำให้คู่ค้าและนักลงทุนลังเลที่จะเข้ามาร่วม
มุมมองจากฝั่งแฟนคลับและชาวเน็ต
หลังการออกอากาศ โลกออนไลน์เต็มไปด้วยความคิดเห็นหลากหลาย
ฝ่ายที่สนับสนุนออมและสุพัตรา – มองว่าเป็นการเปิดเผยหลักฐานที่ชัดเจน และสะท้อนว่าพริมไม่ได้โปร่งใสตั้งแต่แรก
ฝ่ายที่เห็นใจพริม – มองว่าอาจเป็นการเข้าใจผิด และคลิปเสียงควรถูกวิเคราะห์ให้รอบด้าน ไม่ใช่ตัดสินเพียงบางส่วน
ฝ่ายกลาง – เชื่อว่าความจริงที่สมบูรณ์ต้องมาจากเอกสารและสัญญา ไม่ใช่แค่การตีความจากคลิปเสียง
สิ่งที่สังคมเรียนรู้จากกรณีนี้
ดราม่าธุรกิจร้อยล้านนี้ชี้ให้เห็นหลายบทเรียนสำคัญ เช่น
1. การทำธุรกิจร่วมกับเพื่อนหรือคนใกล้ตัวไม่ง่าย – แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ดี แต่เมื่อเงินและผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ความขัดแย้งก็อาจเกิดขึ้นได้
2. ความโปร่งใสคือหัวใจหลัก – หากมีการเปลี่ยนแปลง ควรแจ้งหุ้นส่วนทันที การปิดบังแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่
3. เอกสารและสัญญาคือสิ่งสำคัญ – การตกลงด้วยปากเปล่าไม่สามารถรับประกันความยุติธรรมได้ในระยะยาว
4. สื่อสาธารณะเป็นดาบสองคม – การนำปัญหาไปพูดในรายการดังอาจช่วยเปิดเผยความจริง แต่ก็อาจทำให้ภาพลักษณ์ของทุกฝ่ายเสียหายได้เช่นกัน
บทสรุป
การที่ สุพัตรา มานะยิ่ง ออกมาเปิดเผย ใบเสนอราคาในอีเมลบริษัท และ คลิปเสียงสนทนา กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในดราม่าธุรกิจนี้ หลักฐานเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างแรงกระเพื่อมให้กับสังคม แต่ยังอาจเป็น จุดชี้ชะตาในทางกฎหมาย หากมีการฟ้องร้องเกิดขึ้นในอนาคต
ในขณะที่หลายฝ่ายยังคงรอฟังคำอธิบายเพิ่มเติมจาก พริม ณัฐชา และทีมงาน ฝั่งของ ออม สุชาร์ และครอบครัวก็ดูจริงจังกับการปกป้องสิทธิ์ของตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่ว่าจะลงเอยอย่างไร ดราม่านี้ได้สะท้อนให้เห็นว่า การทำธุรกิจไม่ใช่เพียงเรื่องของกำไร แต่เป็นเรื่องของ ความไว้วางใจ ความซื่อสัตย์ และความชัดเจน ที่หากขาดไปแล้ว อาจทำให้ความสัมพันธ์พังทลาย และภาพลักษณ์เสียหายจนยากจะแก้ไข














