ต้อม ยุทธเลิศ เรียก 100 ล้าน! ลุยกระทรวงวัฒนธรรม ขอเอกสาร Be On Cloud ปมละเมิดลิขสิทธิ์
ต้อม ยุทธเลิศ ฟาดแรง! เรียก 100 ล้าน ปมละเมิดลิขสิทธิ์ “บุปผาราตรี” เตรียมบุกกระทรวงวัฒนธรรม ตรวจเอกสาร Be On Cloud
ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังของไทย ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เปิดใจครั้งแรก หลังเกิดประเด็นร้อนเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ชื่อดัง “บุปผาราตรี” ซึ่งกลายเป็นข่าวใหญ่ในแวดวงภาพยนตร์ไทยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ย้อนเหตุการณ์: บุปผาราตรี ลิขสิทธิ์เป็นเรื่องจริงหรือ?
ประเด็นร้อนเกิดขึ้นเมื่อทีมงานของ Be On Cloud ได้มีการยื่นเอกสารขอทุนเพื่อสร้างภาพยนตร์ในชื่อ บุปผาราตรี ซึ่งเดิมทีเป็นผลงานที่ ต้อม ยุทธเลิศ เคยกำกับและถือครองลิขสิทธิ์ทั้งหมด โดยภายหลังเกิดความไม่ลงรอยกันในการใช้โครงเรื่องและชื่อภาพยนตร์ ทำให้ผู้กำกับชื่อดังต้องออกมาเรียกร้องสิทธิ์
ต้อมให้สัมภาษณ์ว่า ขั้นตอนปัจจุบันคือ “ยกเลิกสัญญาที่เคยเซ็นให้กับทีมงานแล้ว” ซึ่งหมายความว่าทีมงานดังกล่าว ไม่มีสิทธิ์สร้างภาพยนตร์บุปผาราตรีต่อไป
“การยกเลิกสัญญาเพราะพวกเขาผิดสัญญา ผมยื่นโนติสเรียก 100 ล้านบาท หรือไม่ก็ติดต่อทนายให้ ภายใน 30 วัน ถ้าไม่มีการติดต่อ ผมก็เอาหมายศาลไปเลย”
ผู้กำกับชื่อดังยังย้ำว่า หากทีมงานดึงดันสร้างภาพยนตร์ต่อโดยใช้ชื่อบุปผาราตรี จะมีการ เข้ากระทรวงวัฒนธรรมตรวจสอบเอกสารที่ยื่นขอทุน เพราะหากพบว่ามีการนำเอกสารไปแสดงเพื่อสร้างภาพยนตร์โดยไม่ได้รับอนุญาต จะถือว่าเป็นการละเมิดอีก 100 ล้านบาททันที
ละเมิดลิขสิทธิ์อะไรบ้าง?
ต้อมชี้แจงว่า การละเมิดไม่ได้จำกัดเพียง ชื่อเรื่อง แต่รวมถึง IP หรือทรัพย์สินทางปัญญาทั้งหมด ซึ่งรวมถึงโครงเรื่อง ตัวละคร และองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้บุปผาราตรีเป็นที่รู้จัก
“เหมือนกับกรณีของจอนวิค หรือท็อปกัน ไม่ใช่แค่ชื่อ แต่ IP คือทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แม้ทีมงานจะบอกว่าใช้แค่โครงเรื่อง ก็ถือว่าละเมิดแล้ว”
เปรียบเทียบง่าย ๆ เหมือน สตาร์บัคกับสตาร์บัง ชื่อคล้ายกันแต่ถือว่าเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
การติดต่อและความขัดแย้ง
หลังจากข่าวถูกเผยแพร่ ต้อมระบุว่า ไม่มีใครติดต่อมาพูดคุยกับเขา แม้แต่ทางออนไลน์
“ในเน็ต เบอร์ก็มิ ไอ้พิงก็เหมือนกัน เบอร์ก็มี แต่ไม่คุยอะไรเลย ผมเข้าไปแช็ต สมาคม พิงอยู่ในนั้น พอเข้าไปมันลีฟออกไป จะให้ทำยังไง ไม่มีใครอยากคุยกับผม”
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ แจ๊ส และ แจง ในทีมงาน ซึ่งต้อมกล่าวว่า พวกเขาไม่เคยเห็นฟังที่ถูกกล่าวอ้างว่ากำกับภาพยนตร์
“ไอ้แจ๊สมันบอกกับแจงว่าไม่เคยเห็นไอ้ฟังเลย ส่วนไอ้ฟังกูโทรไปถามก็ได้คำตอบว่าไม่ได้กำกับแล้ว แต่เขากลับเปลี่ยนบทของผม ทำให้รู้สึกว่าไม่เข้าใจเจตนา”
ต้อมยังบอกว่า ความรู้สึกโกรธและสมเพชต่อผู้ที่ละเมิดผลงานของเขา
“มึงทำลายมิตร มึงสร้างศัตรู ทำลายความรู้สึกคนเป็นพ่อ มึงต้องโดนตีนอย่างเดียว”
ตอบโต้ความไม่ชัดเจนของทีมงาน
เมื่อมีข่าวว่าพิงอ้างว่ายังคงกำกับอยู่ ต้อมตอบว่า
“แม่งจะพูดอะไรก็พูดไป ไปถามมัน ส่วนตัวผมไม่ได้สนใจ มันเลิกคบไปแล้ว ไม่ยกโทษให้ ยกตีนอย่างเดียว”
ก่อนหน้านี้มีทีมงานเข้ามาขอโทษเรื่องเอานักแสดง พลอย ไปเล่นเป็น บุปมา โดยไม่แจ้งล่วงหน้า ต้อมกล่าวว่า
“ทีมงานมาขอโทษโดยดี ผมก็ไม่ติดใจอะไร แต่ถ้าใครมาบอกว่าผมไม่ให้สิทธิ์ ก็จะมีปัญหาแน่นอน”
การตรวจสอบเอกสารและสิทธิ์ในการสร้างภาพยนตร์
ต้อมย้ำว่า การสร้างภาพยนตร์บุปผาราตรีจะต้อง ขอดูเอกสารที่ยื่นไปยังกระทรวงวัฒนธรรม เพราะเอกสารดังกล่าวแสดงถึงความถูกต้องในการขอทุนและสิทธิ์ในการใช้ IP
“ไม่รอดครับ เพราะตั้งแต่แรกที่ขอทุนในกระทรวง เขาต้องส่งเอกสารให้ผมดู รอกระทรวงเปิดเอกสารก่อน”
การเรียกร้องค่าเสียหาย
ต้อมระบุว่า หากไม่ยอมจ่ายเงินหรือแสดงความรับผิดชอบ อาจถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท
“ไม่เข้าคุกก็ต้องเสียเงิน มี 2 อย่าง คือไกล่เกลี่ยหรือไม่ ผมไม่เคยไกล่เกลี่ยมาก่อน ถ้าใครเย่อหยิ่งใส่ก็เอาหมด”
เขายังชี้ให้เห็นว่า ปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยในวงการภาพยนตร์ไทย
“ประเทศเรากลัวเป็นเจ้าของงานตัวเอง คุณจะโดนคนประเภทนี้มาฉกฉวยผลงาน เรื่องแบบนี้เจอมา 20 ปีแล้ว ถ้าไม่ยื่นสิทธิ์ก็เอาไปไม่ได้”
ต้อมยังเปิดใจว่า แม้จะไม่ได้ทำภาพยนตร์เรื่องนี้มานาน แต่เมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ เขาพร้อมที่จะ ฟื้นฟูบุปผาราตรี
“ไม่ได้ทำมาตั้งนาน แต่พอมีเรื่องแบบนี้ ก็จะทำแม่งแล้วล่ะ เพราะมันแมสแล้ว กูอยู่เงียบๆ มานาน ชุดกูมาอยู่ตรงนี้แล้ว ทำไมจะไม่ทำ?”
บทสรุป
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาใหญ่ของวงการภาพยนตร์ไทยเรื่อง ลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะสำหรับผลงานที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก
ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค ผู้กำกับมากฝีมือ ได้ชี้ชัดว่าการละเมิด IP ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย การเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท และการเตรียมเข้ากระทรวงวัฒนธรรมเพื่อตรวจสอบเอกสาร เป็นการปกป้องผลงานของตนอย่างเต็มที่
เรื่องนี้ยังคงเป็น กรณีศึกษาที่สำคัญสำหรับวงการภาพยนตร์ไทย ว่าการละเมิดลิขสิทธิ์ไม่เพียงแต่ทำให้เสียเงิน แต่ยังทำลายความน่าเชื่อถือและความสัมพันธ์ในวงการอย่างยาวนาน
















