เดือด! อ.เชียง แท็กถึง “หนุ่ม กรรชัย” หลังถูกพาดพิงกลางรายการ ดราม่าคอมเมนต์สนั่น
เคลื่อนไหวครั้งแรก! “อ.เชียง ปัณณวิชญ์” ขอเคลียร์ปมโหนกระแส หลังถูกกล่าวหาเป็น “ผู้วิเศษคนที่ 3”
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สังคมออนไลน์ไทยเต็มไปด้วยกระแสการพูดถึงเรื่องราวของ “ผู้วิเศษ” หลายราย ที่ถูกเปิดเผยข้อมูลและถูกตั้งคำถามอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพิธีกรรมแปลกใหม่ เรื่องพลังเหนือธรรมชาติ รวมถึงการอ้างตัวว่าเป็นผู้มีความสามารถพิเศษที่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป และล่าสุด หนึ่งในบุคคลที่ถูกจับตาอย่างมากก็คือ “อ.เชียง ปัณณวิชญ์” ผู้ซึ่งถูกกล่าวพาดพิงในรายการดัง โหนกระแส ทางช่อง 3 ที่มี “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” เป็นผู้ดำเนินรายการ
กรณีนี้กลายเป็นประเด็นใหญ่ทันทีเมื่อมีการอ้างว่า อ.เชียง คือผู้วิเศษคนที่ 3 โดยมีการพูดถึงเหตุการณ์ “สัมผัส โอบกอด และจูบ พระอุเชนทร์” ศิลปวัตถุเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 1,600 ปี ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากชาวเน็ตและสังคมวงกว้าง แต่ที่น่าสนใจคือ ในวันที่มีการพูดถึงเรื่องนี้ในรายการ อ.เชียง ยังไม่ได้ออกมาชี้แจงด้วยตัวเอง มีเพียง ม่อน ลูกศิษย์คนใกล้ชิด ที่โฟนอินเข้ามาและให้ข้อมูลจากมุมมองของลูกศิษย์เท่านั้น
ล่าสุดความเคลื่อนไหวเปลี่ยนไป เมื่อ อ.เชียง ปัณณวิชญ์ ตัดสินใจออกมาโพสต์และแท็กตรงไปถึง หนุ่ม กรรชัย เพื่อขอโอกาสในการชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสังคม
ย้อนรอยดราม่า “ผู้วิเศษ” และประเด็นร้อนบนโหนกระแส
หากพูดถึง “โหนกระแส” รายการข่าวเชิงวิเคราะห์ที่ได้รับความนิยมสูงในประเทศไทย จะรู้กันดีว่ารายการนี้เป็นเวทีที่เปิดพื้นที่ให้บุคคลหลากหลายกลุ่มได้ออกมาเล่าความจริงหรือโต้แย้งข้อกล่าวหาต่อหน้าสาธารณะ ทำให้หลายประเด็นร้อนถูกคลี่คลายไปในรายการ
ประเด็น “ผู้วิเศษ” เป็นหนึ่งในซีรีส์คอนเทนต์ที่ได้รับความสนใจมาก เพราะตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีบุคคลจำนวนหนึ่งถูกเปิดโปงเรื่องการอ้างตัวเป็นผู้มีพลังพิเศษ มีการทำพิธีกรรม และการอ้างอิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในรูปแบบต่าง ๆ จนกลายเป็นดราม่าที่คนติดตามต่อเนื่อง
กรณีของ อ.เชียง ปัณณวิชญ์ ถูกโยงเข้ามาในลำดับที่ 3 โดยมีคลิปและหลักฐานที่ถูกนำมาเผยแพร่เกี่ยวกับการ “สัมผัสและจูบพระอุเชนทร์” ศิลปวัตถุโบราณที่มีอายุนับพันปี ซึ่งถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมและเป็นการไม่เคารพต่อโบราณวัตถุ อีกทั้งยังถูกตั้งคำถามว่าเหตุใดบุคคลนี้จึงถูกยกให้เป็น “ผู้วิเศษ”
เสียงจากลูกศิษย์ “ม่อน” ที่ออกมาปกป้อง
ในวันที่ประเด็นดังกล่าวถูกหยิบยกขึ้นมาในรายการโหนกระแส อ.เชียง ไม่ได้เข้าร่วมรายการหรือให้สัมภาษณ์ด้วยตนเอง มีเพียง ม่อน ลูกศิษย์คนสนิท ที่ได้โฟนอินเข้ามาเพื่อปกป้องและอธิบายมุมมองแทนอาจารย์
ม่อนระบุว่า สิ่งที่หลายคนเห็นอาจเป็นการตีความเกินจริง และยืนยันว่าอาจารย์เชียงมีเจตนาดี มิได้ทำเพื่อดูหมิ่นศาสนาหรือโบราณวัตถุ แต่เป็นการแสดงออกเชิงความศรัทธาและเป็นพิธีกรรมในมิติที่คนทั่วไปอาจไม่เข้าใจ
อย่างไรก็ตาม คำอธิบายจากลูกศิษย์ก็ยังไม่สามารถดับกระแสสงสัยของสังคมได้ เพราะหลายคนมองว่า หากเรื่องนี้เป็นความจริงหรือมีเหตุผลที่ชัดเจน อ.เชียง ควรออกมาอธิบายด้วยตนเอง
อ.เชียง เคลื่อนไหว! ขอโอกาสชี้แจงต่อสังคม
หลังจากเงียบมาหลายวัน ล่าสุด อ.เชียง ปัณณวิชญ์ ได้ออกมาโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดีย พร้อมแท็กตรงไปถึง หนุ่ม กรรชัย โดยมีใจความสำคัญว่า
“ขอโอกาสคุณหนุ่ม กรรชัย ให้กระผมได้มีโอกาสชี้แจงต่อสังคม ในกรณีมีผู้กล่าวพิพาทถึงกระผมในรายการ #โหนกระแส ด้วยครับ”
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เจ้าตัวออกมาแสดงจุดยืนและพร้อมที่จะอธิบายด้วยตัวเอง หลังจากก่อนหน้านี้เงียบมาตลอดและปล่อยให้ลูกศิษย์ออกมาแก้ต่างแทน
กระแสจากชาวเน็ต
ทันทีที่ อ.เชียง ออกมาโพสต์ ก็มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้าไปแสดงความคิดเห็น ทั้งเชิงสนับสนุนและเชิงวิพากษ์วิจารณ์
บางส่วนมองว่าเป็นเรื่องดีที่เจ้าตัวกล้าออกมาพูดด้วยตัวเอง เพราะหากมั่นใจว่าไม่ได้ทำผิดจริงก็ควรใช้โอกาสนี้พิสูจน์
ขณะที่อีกฝ่ายยังคงตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในการกระทำต่อโบราณวัตถุ และอยากฟังเหตุผลตรง ๆ จากปากอาจารย์เชียงว่าจะอธิบายอย่างไร
กระแสคอมเมนต์ส่วนใหญ่จึงเต็มไปด้วยการรอคอยว่า หากได้ไปออกรายการโหนกระแสจริง เรื่องราวทั้งหมดจะมีความชัดเจนมากขึ้นหรือไม่
ทำไม “โหนกระแส” จึงกลายเป็นเวทีชี้ชะตา?
สิ่งที่น่าสนใจคือ ทำไมบุคคลที่ถูกพาดพิงจำนวนมากถึงเลือก “โหนกระแส” เป็นเวทีในการเคลียร์ข้อเท็จจริง คำตอบนั้นไม่ยาก เพราะรายการนี้มีจุดแข็งสำคัญคือ
1. มีพื้นที่สาธารณะ – ออกอากาศทางทีวีและออนไลน์ คนดูจำนวนมาก
2. มีพิธีกรอย่างหนุ่ม กรรชัย – ที่มีภาพลักษณ์ของความเป็นกลางและคมตรงเวลาไล่ถาม
3. เปิดพื้นที่ทั้งสองฝ่าย – ผู้ถูกกล่าวหาและคู่กรณีสามารถมาเจอกันได้
ดังนั้น การที่ อ.เชียง ขอใช้เวทีนี้ชี้แจง จึงถือว่าเป็นการเลือกที่ถูกจับตามองและมีโอกาสพลิกความเข้าใจของสังคมได้
สังคมไทยกับความเชื่อเรื่อง “ผู้วิเศษ”
กรณีนี้ยังสะท้อนถึงปรากฏการณ์ในสังคมไทย ที่ยังคงมีความเชื่อเรื่อง “ผู้วิเศษ” “ผู้มีญาณ” หรือ “ผู้มีฤทธิ์” อยู่เสมอ โดยเฉพาะในยุคโซเชียลที่ข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว บุคคลที่ถูกเรียกว่า “ผู้วิเศษ” สามารถกลายเป็นที่รู้จักชั่วข้ามคืน แต่ก็เสี่ยงที่จะถูกเปิดโปงหากมีข้อเท็จจริงที่ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่อ้าง
สำหรับกรณี อ.เชียง ปัณณวิชญ์ คำว่า “ผู้วิเศษคนที่ 3” อาจเป็นเพียงคำอธิบายที่ถูกสังคมมอบให้ แต่จะจริงแท้เพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับการออกมาอธิบายและหลักฐานที่จะถูกเปิดเผยต่อไป
สิ่งที่ต้องจับตาต่อไป
1. อ.เชียง จะได้ออกรายการโหนกระแสหรือไม่? – ขึ้นอยู่กับการตอบรับจากทีมงานและการประสานงานกับหนุ่ม กรรชัย
2. คำอธิบายจะโน้มน้าวสังคมได้หรือไม่? – หากอาจารย์มีเหตุผลหรือหลักฐานที่ชัดเจน อาจช่วยเปลี่ยนกระแส แต่หากไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน อาจทำให้เรื่องราวลุกลามมากกว่าเดิม
3. ผลกระทบต่อวงการความเชื่อ – เรื่องนี้อาจกลายเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ทำให้สังคมต้องตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของการอ้างอิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือโบราณวัตถุในพิธีกรรมต่าง ๆ
บทสรุป
เรื่องราวของ อ.เชียง ปัณณวิชญ์ ที่ถูกพาดพิงว่าเป็น “ผู้วิเศษคนที่ 3” และเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ “พระอุเชนทร์” กำลังกลายเป็นหนึ่งในดราม่าที่สังคมไทยให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีเพียงลูกศิษย์ออกมาปกป้องแทน ตอนนี้เจ้าตัวตัดสินใจเคลื่อนไหวด้วยการขอโอกาสจาก หนุ่ม กรรชัย เพื่ออธิบายข้อเท็จจริงต่อหน้าสังคม
สิ่งที่ทุกคนรอคอยคือ คำอธิบายตรง ๆ จากปากของอาจารย์เชียง ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร มีเจตนาอย่างไร และเหตุใดจึงถูกมองว่าเป็น “ผู้วิเศษ” ซึ่งการออกรายการในครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเขากลับมาสดใส หรืออาจกลายเป็นหลักฐานยืนยันข้อสงสัยก็เป็นได้
ไม่ว่าจะจบลงอย่างไร กรณีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่สะท้อนถึงความซับซ้อนของความเชื่อ ความศรัทธา และความจริงในสังคมไทยยุคดิจิทัล ที่ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถถูกตรวจสอบได้ทันทีบนโลกออนไลน์
















