ฮุน มาเนต ประกาศข่าวดี! กัมพูชาขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 2026 เป็น 210 ดอลลาร์/เดือน
“ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แสดงความยินดี หลังปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำปี 2569 จาก 208 ดอลลาร์ เป็น 210 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน
เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา สมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์แสดงความยินดีภายหลังคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องมีมติปรับขึ้น ค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับแรงงานในปี 2569 จากเดิม 208 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน (ประมาณ 6,600 บาท) เพิ่มเป็น 210 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน (ประมาณ 6,670 บาท)
แม้การปรับขึ้นในครั้งนี้จะดูเหมือนเป็นเพียงจำนวนเงินเล็กน้อย แต่ก็มีความหมายเชิงสัญลักษณ์อย่างมากต่อแรงงานกัมพูชาหลายแสนคนที่ทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมหลัก ไม่ว่าจะเป็น สิ่งทอ การตัดเย็บ การผลิตรองเท้า การผลิตกระเป๋า และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ซึ่งถือเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจของประเทศ
ค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ปี 2569: เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่มีนัยสำคัญ
ค่าจ้างขั้นต่ำถูกปรับจาก 208 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 210 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 2 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 70 บาท) ซึ่งแม้จะเป็นจำนวนไม่มาก แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึง ความพยายามของรัฐบาลกัมพูชาในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตแรงงาน
การปรับขึ้นดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้กับแรงงานทุกคนในภาคการผลิตที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสิ่งทอและตัดเย็บเสื้อผ้า ซึ่งมีแรงงานจำนวนมากเป็นผู้หญิง และเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้มหาศาลจากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ยุโรป และตลาดโลก
ทำไมการปรับขึ้นค่าจ้างแม้เล็กน้อยก็สำคัญ
หลายคนอาจมองว่าการขึ้นค่าจ้างเพียง 2 ดอลลาร์ต่อเดือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากมองในมุมเศรษฐกิจมหภาค จะเห็นว่า การตัดสินใจเช่นนี้มีผลหลายด้าน
1. สร้างขวัญกำลังใจให้แรงงาน
แรงงานจำนวนมากมองว่าการปรับขึ้นทุกปีเป็นการยืนยันว่ารัฐบาลไม่ทอดทิ้ง
แม้จะไม่มาก แต่ก็ช่วยลดความรู้สึกว่ารายได้หยุดนิ่ง
2. เป็นการรักษาสมดุลระหว่างแรงงานและนายจ้าง
หากปรับขึ้นมากเกินไป อาจทำให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะโรงงานต่างชาติ ย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น
หากไม่ปรับขึ้นเลย ก็อาจสร้างความไม่พอใจและนำไปสู่การประท้วงแรงงาน
3. สะท้อนความตั้งใจของรัฐบาล
ฮุน มาเนต เคยให้คำมั่นว่าจะดูแลแรงงานซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจ
การปรับครั้งนี้จึงเป็นเหมือนการรักษาสัญญา แม้จะเพิ่มขึ้นไม่มากแต่ก็ “มีเพิ่มขึ้นทุกปี”
บทบาทของอุตสาหกรรมสิ่งทอและตัดเย็บ
อุตสาหกรรมสิ่งทอและตัดเย็บเสื้อผ้าถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจกัมพูชา
สร้างรายได้หลักจากการส่งออก
คิดเป็นกว่า 60% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของประเทศ
แรงงานกว่า 700,000 คน ทำงานอยู่ในภาคส่วนนี้
ส่วนใหญ่เป็น แรงงานหญิงจากชนบท ที่ย้ายเข้ามาทำงานในเมืองเพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว
ดังนั้น การปรับขึ้นค่าจ้างแม้เพียงเล็กน้อยก็มีผลกระทบโดยตรงต่อแรงงานหลายแสนครอบครัว และยังส่งผลต่อการหมุนเวียนในเศรษฐกิจท้องถิ่น
ปัจจัยที่ทำให้การปรับค่าจ้างเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำในกัมพูชาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น
1. การแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน
เวียดนาม บังกลาเทศ และพม่า ต่างก็เป็นคู่แข่งสำคัญในอุตสาหกรรมสิ่งทอ
หากค่าจ้างในกัมพูชาสูงเกินไป นักลงทุนอาจย้ายฐานการผลิต
2. ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
ราคาพลังงาน ค่าขนส่ง และวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น ทำให้โรงงานต้องแบกรับต้นทุนมากขึ้น
หากค่าจ้างเพิ่มมากเกินไป โรงงานอาจไม่สามารถแข่งขันได้
3. แรงกดดันจากสหภาพแรงงาน
แรงงานกัมพูชามีการรวมตัวกันในรูปแบบสหภาพแรงงาน
พวกเขามักเรียกร้องให้มีการปรับขึ้นค่าจ้างมากกว่าที่รัฐบาลและนายจ้างยินยอม
ฮุน มาเนต และภาพลักษณ์การเป็น “ผู้นำเพื่อแรงงาน”
ตั้งแต่ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต พยายามสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็น ผู้นำที่ห่วงใยแรงงานและคนตัวเล็กในสังคม
การออกมาแสดงความยินดีต่อการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำปี 2569 ถือเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์นี้
ฮุน มาเนต เน้นย้ำเสมอว่าแรงงานคือเสาหลักของเศรษฐกิจ และรัฐบาลต้องตอบแทนด้วยนโยบายที่เป็นธรรม
การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ยังสะท้อนว่า รัฐบาลกัมพูชาต้องการ รักษาเสถียรภาพทางสังคมและการเมือง ผ่านการดูแลแรงงาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากและมีอิทธิพลต่อการประท้วงหรือนโยบายต่าง ๆ
แม้จะมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ แต่ก็ยังมีปัญหาที่แรงงานกัมพูชาต้องเผชิญ เช่น
1. ค่าครองชีพที่สูงขึ้น
แม้ค่าจ้างจะเพิ่มขึ้น แต่ราคาสินค้า อาหาร และค่าที่พักในเมืองใหญ่ เช่น พนมเปญ ก็เพิ่มขึ้นเร็วกว่า ทำให้แรงงานยังคงรู้สึกว่ารายได้ไม่เพียงพอ
2. สภาพการทำงาน
แรงงานจำนวนมากยังต้องทำงานล่วงเวลาเพื่อให้เพียงพอต่อการใช้จ่าย ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต
3. การพึ่งพิงอุตสาหกรรมเดียว
เศรษฐกิจกัมพูชายังพึ่งพาอุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นหลัก หากมีวิกฤต เช่น การลดคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ ก็จะกระทบแรงงานจำนวนมากทันที
จากการรายงานของสื่อท้องถิ่นและองค์กรแรงงาน พบว่า แรงงานส่วนหนึ่งยังรู้สึกผิดหวัง เนื่องจากหวังว่าจะได้เห็นการปรับเพิ่มมากกว่านี้ อย่างน้อย 215–220 ดอลลาร์ต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม แรงงานหลายคนก็ยอมรับว่า การมีเพิ่มขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็ดีกว่าไม่เพิ่มเลย และการที่รัฐบาลยังคงยึดหลักการปรับทุกปี ทำให้แรงงานมีความหวังว่าในอนาคตอาจมีการปรับมากขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจ
ผลต่อเศรษฐกิจและสังคม
การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำมีผลหลายด้าน ได้แก่
เศรษฐกิจในประเทศ
รายได้ที่เพิ่มขึ้นของแรงงานจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ทำให้เงินหมุนเวียนในตลาดท้องถิ่นมากขึ้น
การลงทุนจากต่างชาติ
นักลงทุนอาจจับตามองว่าการปรับขึ้นค่าจ้างครั้งนี้จะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของกัมพูชาหรือไม่
เสถียรภาพทางสังคม
การขึ้นค่าจ้างช่วยลดแรงกดดันจากแรงงานและสหภาพแรงงาน ซึ่งอาจนำไปสู่การประท้วงหากไม่ได้รับการปรับ
สรุป
การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในกัมพูชาปี 2569 จาก 208 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 210 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน แม้จะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ก็มีความหมายเชิงนโยบายและเชิงสัญลักษณ์อย่างยิ่ง
เป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ของรัฐบาล ฮุน มาเนต ที่ต้องการแสดงความห่วงใยแรงงาน
ช่วยรักษาสมดุลระหว่างแรงงานและนายจ้าง
มีผลต่อเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมในวงกว้าง
แรงงานกัมพูชายังคงเผชิญความท้าทายจากค่าครองชีพและสภาพการทำงาน แต่การปรับขึ้นทุกปีทำให้พวกเขามีความหวังว่าอนาคตจะดีขึ้นเรื่อย ๆ





















