ชายแดนเดือด! คฝ.ใช้แก๊สน้ำตา-กระสุนยาง สกัดม็อบเขมรบุก รื้อลวดหนาม
เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา 17 กันยายน 2568: ทหารกัมพูชาใช้ชาวบ้านเป็นโล่มนุษย์ ก่อน คฝ. ไทยตอบโต้ด้วยแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง
เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง หลังเกิดเหตุการณ์ที่ฝ่ายกัมพูชานำกำลังพลและชาวบ้านเข้ามารื้อลวดหนามของฝ่ายไทย โดยมีการใช้วิธีการที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก คือ การใช้ชาวบ้านเป็นโล่มนุษย์ เพื่อปะทะกับเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน (คฝ.) ของไทยและกองกำลังบูรพา
รายงานระบุว่า ทหารกัมพูชาได้รวมกลุ่มกับชาวบ้านจำนวนมาก พร้อมทั้งตะโกนโห่ร้องและขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่ไทย ทั้งก้อนหินและท่อนไม้ โดยมีเป้าหมายเพื่อบุกเข้ารื้อแนวลวดหนามที่ฝ่ายไทยเสริมไว้เพื่อป้องกันการรุกล้ำในเขตแดน
การตรึงกำลังของฝ่ายไทยและมาตรการ "จากเบาไปหาหนัก"
เจ้าหน้าที่ไทย โดยเฉพาะ ตำรวจควบคุมฝูงชนจังหวัดสระแก้ว และ กองกำลังบูรพา ได้ตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อป้องกันการละเมิดอธิปไตยไทย หลังจากมีสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าฝ่ายกัมพูชาอาจมีความพยายามเข้ามารื้อแนวลวดหนาม
ก่อนหน้านี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ได้มีการส่งสัญญาณเตือนไปยังฝ่ายกัมพูชาอย่างเป็นทางการแล้วว่า หากมีการบุกรุกเกิดขึ้น ไทยจะดำเนินมาตรการ "จากเบาไปหาหนัก" ตั้งแต่การเจรจา เตือน ปราม จนถึงการบังคับใช้กำลังตามความจำเป็น และหากมีผู้รุกล้ำเข้ามา จะต้องถูกจับกุมทันที
มาตรการดังกล่าวถือเป็นแนวทางที่ฝ่ายไทยใช้มาโดยตลอด เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าที่รุนแรงเกินไป แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศ
เหตุปะทะรุนแรง: ชาวบ้านเป็นโล่มนุษย์ – ไทยตอบโต้ด้วยแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง
ช่วงบ่ายของวันที่ 17 กันยายน สถานการณ์เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อกลุ่มทหารกัมพูชาและชาวบ้านได้บุกเข้ามาใกล้แนวชายแดน พร้อมพยายามรื้อแนวลวดหนามอีกครั้ง โดยอาศัยชาวบ้านอยู่แนวหน้าเพื่อเป็นเกราะกำบังไม่ให้เจ้าหน้าที่ไทยใช้มาตรการตอบโต้ได้เต็มที่
เวลา 16.20 น. – เจ้าหน้าที่ไทยถูกขว้างปาท่อนไม้และก้อนหินอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการใช้เครื่องยิงหนังสติ๊กเล็งใส่กลุ่ม คฝ. ฝ่ายไทยเห็นว่าการยั่วยุยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีท่าทีจะถอย จึงตัดสินใจใช้ กระสุนยางและแก๊สน้ำตา สลายกลุ่มผู้บุกรุก
การตอบโต้ดังกล่าวส่งผลให้กลุ่มชาวบ้านและทหารกัมพูชาต้องล่าถอยกลับไปยังฝั่งกัมพูชาอย่างรวดเร็ว โดยมีรายงานว่าหลายคนสำลักแก๊สน้ำตาและบางส่วนได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงด้วยกระสุนยาง แต่ยังไม่มีข้อมูลยืนยันจำนวนผู้บาดเจ็บอย่างเป็นทางการ
การเสริมมาตรการควบคุมฝูงชนของฝ่ายไทย
หลังจากเหตุปะทะยุติลงชั่วคราวในช่วงเย็น เจ้าหน้าที่ไทยได้ประเมินว่าฝ่ายกัมพูชาอาจกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง จึงมีการเสริมมาตรการควบคุมฝูงชนเพิ่มเติม
เวลา 17.00 น. – ฝ่ายไทยเริ่มใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนขั้นสูงมากขึ้น ได้แก่
แก๊สน้ำตา เพื่อผลักดันไม่ให้ฝ่ายกัมพูชาเข้าใกล้แนวชายแดน
กระสุนยาง สำหรับป้องกันหากมีการบุกรุกซ้ำ
เครื่องขยายเสียงความถี่สูง (LRAD) เพื่อกดดันและผลักดันฝูงชนให้ออกไปจากพื้นที่
มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายหลักเพื่อควบคุมสถานการณ์โดยไม่ให้บานปลายไปสู่การใช้กระสุนจริงหรือเกิดความสูญเสียร้ายแรง
การใช้ชาวบ้านเป็นโล่มนุษย์: ประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
สิ่งที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักในครั้งนี้คือ พฤติกรรมของฝ่ายกัมพูชา ที่นำชาวบ้านมาอยู่แนวหน้าในการปะทะกับเจ้าหน้าที่ไทย ซึ่งถูกมองว่าเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง เพราะการใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ถือเป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ชาวบ้านได้รับอันตราย แต่ยังเสี่ยงต่อการสร้างภาพว่าไทยเป็นฝ่ายใช้กำลังต่อพลเรือน ทั้งที่แท้จริงแล้วกลุ่มดังกล่าวถูกนำมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองและการทหาร
มุมมองด้านความมั่นคงและการเมือง
เหตุปะทะที่เกิดขึ้นต่อเนื่องหลายครั้งตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมจนถึงกลางเดือนกันยายน ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชากำลังเข้าสู่จุดเปราะบางอีกครั้ง โดยเฉพาะหลังจากการหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งดูเหมือนจะไม่สามารถยุติความตึงเครียดได้จริง
นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงบางรายมองว่า การเคลื่อนไหวของกัมพูชาอาจมีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงกดดันต่อไทยในประเด็นเขตแดน ขณะที่ฝ่ายไทยเองต้องรักษาจุดยืนในการปกป้องอธิปไตย แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังไม่ให้สถานการณ์ลุกลามจนบานปลายไปสู่การปะทะทางทหารเต็มรูปแบบ
เสียงสะท้อนจากประชาชนในพื้นที่
ชาวบ้านฝั่งไทยที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน จ.สระแก้ว แสดงความกังวลอย่างมากต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง หลายครอบครัวต้องปรับตัวและเตรียมความพร้อมสำหรับการอพยพหากสถานการณ์เลวร้ายลง
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าชาวบ้านจำนวนหนึ่งสูญเสียรายได้จากการทำการเกษตรและการค้าขายชายแดน เนื่องจากบรรยากาศตึงเครียดทำให้การค้าชายแดนหยุดชะงัก
บทสรุป
เหตุการณ์เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 ถือเป็นอีกหนึ่งบททดสอบความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา และสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของสถานการณ์ชายแดน ที่สามารถปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ
การใช้ชาวบ้านเป็นโล่มนุษย์โดยฝ่ายกัมพูชา ได้สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วทั้งในระดับภูมิภาคและนานาชาติ และยังเพิ่มแรงกดดันต่อรัฐบาลทั้งสองประเทศให้หาทางออกโดยสันติวิธี
สำหรับฝ่ายไทย แม้จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้โดยใช้มาตรการ "จากเบาไปหาหนัก" แต่ก็ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะความตึงเครียดนี้อาจไม่ใช่ครั้งสุดท้าย และหากไม่มีการแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจา อาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิมในอนาคต





















