สื่อกัมพูชาปูด ไทยส่งทหารวางลวดหนาม กล่าวหายั่วยุปะทะ
สื่อกัมพูชาโต้กลับ กล่าวหาไทยยั่วยุวางลวดหนาม ไล่ชาวบ้านกัมพูชา นักวิเคราะห์ชี้ ไทยกำลังสร้าง “กับดักทางการทหาร”
สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชากลับมาตึงเครียดอีกครั้ง หลังสื่อกัมพูชาหลายสำนักเผยแพร่รายงาน กล่าวหา ฝ่ายไทย ว่ามีการส่งทหารติดอาวุธเข้ามาวางแนวลวดหนามในพื้นที่ชายแดน จนกระทบต่อครอบครัวชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้เขตแดน โดยเฉพาะบริเวณ หมู่บ้านเปรยจัน จ.บันเตียเมียนเจย ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ บ้านหนองหญ้าแก้ว ฝั่งไทย
รายงานระบุว่า การเผชิญหน้าครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในวันที่ 16 และ 17 กันยายน 2568 โดยมีการปะทะระหว่างชาวบ้านกัมพูชากับทหารไทยที่ติดอาวุธหนัก แม้จะมีการประกาศ หยุดยิงชั่วคราวเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ความตึงเครียดยังคงดำเนินต่อเนื่อง
ข้อกล่าวหาของสื่อกัมพูชา: ไทยยั่วยุ-บุกรุก
สื่อกัมพูชาชี้ว่า ฝ่ายไทยยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการวางรั้วลวดหนามในพื้นที่พิพาท โดยเฉพาะในหมู่บ้าน เปรยจัน และ จุกเจย ซึ่งเป็นชุมชนที่มีชาวบ้านอาศัยและทำกินมานานหลายสิบปี
รายงานอ้างว่า การวางลวดหนามในช่วงเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ครอบครัวชาวกัมพูชาอย่างน้อย 6 ครอบครัว ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ไม่สามารถเข้าถึงที่ดิน บ้านพัก และนาข้าวของตนเองได้ ที่สำคัญคือมีการกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ไทยได้บังคับให้ชาวบ้านเหล่านี้ย้ายออกจากพื้นที่
การตอบโต้ของชาวบ้านกัมพูชา
เมื่อถูกจำกัดสิทธิการเข้าถึงที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำกิน ชาวบ้านบางส่วนถึงขั้นต้อง ใช้อาวุธชาวบ้าน เช่น ท่อนไม้ เพื่อขัดขวางไม่ให้ทหารไทยวางลวดหนามเพิ่มเติม โดยรายงานระบุว่า ระหว่างการเผชิญหน้า มีทหารกัมพูชาบางนายยืนอยู่ในพื้นที่ แต่ไม่ได้ถืออาวุธใด ๆ และทำหน้าที่เพียงเฝ้าดูสถานการณ์
การกระทำดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความสิ้นหวังของชาวบ้านกัมพูชา ที่มองว่าพื้นที่ทำกินของตนกำลังถูกคุกคามและถูกยึดไปโดยไม่เป็นธรรม
นักวิเคราะห์กัมพูชา: ไทยกำลัง “สร้างกับดัก”
บุคคลสำคัญที่ออกมาให้ความเห็นต่อสถานการณ์นี้คือ นายยาง เปา เลขาธิการราชบัณฑิตยสภากัมพูชา โดยเขาได้กล่าวหาว่าไทยกำลังใช้ยุทธวิธี “กับดักทางการทหาร”
นายยาง เปา อธิบายว่า ไทยจงใจยั่วยุด้วยการวางลวดหนามและส่งทหารติดอาวุธเข้ามาใกล้พื้นที่หมู่บ้านของกัมพูชา โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้กัมพูชาต้องตอบโต้ด้วยการใช้อาวุธ หากกัมพูชาใช้กำลังจริง ก็จะถูกกล่าวหาว่า ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และอาจถูกใช้เป็นข้ออ้างในการขยายบทบาททางทหารของไทยในพื้นที่ชายแดน
เขาย้ำว่า ไทยไม่เคารพข้อตกลงทวิภาคี และการยั่วยุในลักษณะนี้อาจนำไปสู่ความรุนแรงที่ไม่สามารถควบคุมได้
แม้จะโจมตีไทยอย่างรุนแรง แต่นายยาง เปา กลับเสนอว่า กัมพูชาควรตอบโต้ด้วย สันติวิธี ไม่ใช้อาวุธ โดยให้ “กองกำลังพลเมืองและเจ้าหน้าที่” ร่วมกันยับยั้งการติดตั้งลวดหนามของฝ่ายไทย แต่ห้ามใช้อาวุธเพื่อหลีกเลี่ยงการตกหลุมพรางทางการเมืองและการทหาร
แนวคิดดังกล่าวสะท้อนถึงความกังวลว่า หากสถานการณ์บานปลาย อาจกลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ไทยได้เปรียบในเวทีระหว่างประเทศ
นอกจากการต่อต้านในพื้นที่ นายยาง เปา ยังเสนอให้รัฐบาลกัมพูชาเร่งสร้างแรงกดดันในระดับนานาชาติ โดยมีแนวทางดังนี้
1. ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ): เพื่อร้องเรียนเกี่ยวกับสิ่งที่กัมพูชาเรียกว่า “การรุกรานจากไทย”
2. นำเรื่องเข้าสู่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC): เพื่อสร้างการรับรู้ในระดับโลก และเพิ่มแรงกดดันทางการทูต
3. รายงานต่อเลขาธิการอาเซียน: เพื่อเผยแพร่ข้อกล่าวหาของกัมพูชาไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมด
แนวทางเหล่านี้สะท้อนถึงความพยายามของกัมพูชาในการ “ทำให้ปัญหาชายแดนกลายเป็นวาระระหว่างประเทศ” แทนที่จะจำกัดอยู่เพียงในระดับทวิภาคี
ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา
การกล่าวหาจากฝั่งกัมพูชาได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ทั้งที่เพิ่งมีความพยายามฟื้นฟูความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจ การค้า และความมั่นคงชายแดน
ด้านความมั่นคง: กองกำลังทั้งสองฝ่ายต้องเพิ่มกำลังเฝ้าระวัง ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะได้ตลอดเวลา
ด้านเศรษฐกิจ: การค้าชายแดนที่ปกติคึกคักอาจหยุดชะงัก พ่อค้าแม่ค้าลังเลที่จะเดินทางไปขายสินค้า เพราะเกรงสถานการณ์ไม่ปลอดภัย
ด้านสังคม: ชาวบ้านทั้งสองฝั่งเสียโอกาสในการทำกิน โดยเฉพาะครอบครัวกัมพูชาที่ถูกกล่าวว่าถูกจำกัดการเข้าถึงที่อยู่อาศัย
แม้รายงานฝั่งกัมพูชาจะกล่าวหาไทยอย่างหนัก แต่ทางฝ่ายไทยมักยืนยันว่า การวางลวดหนามเป็นการ ปกป้องอธิปไตยและความมั่นคง รวมถึงการสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองและการค้าผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมายาวนานในพื้นที่ชายแดน
ฝ่ายไทยยังคงยืนยันว่าการกระทำทั้งหมดอยู่ภายในเขตแดนที่ถูกต้องตามหลักสากล และปฏิบัติภายใต้ข้อตกลงระหว่างประเทศ
ความเสี่ยงที่จะบานปลาย
สิ่งที่น่ากังวลคือ หากไม่มีการเจรจาแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ความตึงเครียดอาจลุกลามจนกลายเป็น ข้อพิพาทชายแดนรอบใหม่ ที่ยืดเยื้อเหมือนในอดีต โดยเฉพาะในปี 2551–2554 ที่เคยมีการปะทะกันอย่างรุนแรงบริเวณปราสาทพระวิหาร
สรุป
สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาในเดือนกันยายน 2568 กำลังเผชิญแรงกดดันครั้งใหม่ เมื่อสื่อกัมพูชาและนักวิเคราะห์ออกมากล่าวหาว่าไทยกำลัง “สร้างกับดัก” เพื่อยั่วยุให้กัมพูชาใช้กำลัง จนนำไปสู่การละเมิดข้อตกลงหยุดยิง
แม้ฝ่ายกัมพูชาจะยืนยันว่าจะตอบโต้ด้วยสันติวิธี แต่การนำเรื่องเข้าสู่เวทีนานาชาติอาจทำให้ปัญหานี้ซับซ้อนยิ่งขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อความสัมพันธ์อันเปราะบางของสองประเทศเพื่อนบ้าน
อ้างอิงจาก: The Phnom Penh Post





















