ด่วน! จำคุกศรีสุวรรณ 4 ปี เจ๋ง ดอกจิก 6 ปี คดีรีดเงินกรมการข้าว
ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุก “ศรี สุวรรณ” และ “เจ๋ง ดอกจิก” ไม่รอลงอาญา คดีเรียกรับทรัพย์สิน 1.5 ล้านบาท
วันที่ 17 กันยายน 2568 กลายเป็นวันสำคัญในวงการกฎหมายและสังคมไทย เมื่อ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษาในคดีที่สังคมจับตามองอย่างใกล้ชิด กรณีการเรียกรับทรัพย์สินจำนวน 1.5 ล้านบาท จาก นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว
ศาลได้มีคำสั่ง พิพากษาจำคุก นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” เป็นเวลา 6 ปี และ จำคุก นายศรี สุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน พร้อมพวก 4 ปี โดยทั้งหมด ไม่รอลงอาญา ซึ่งถือเป็นการพิพากษาที่เข้มงวดและสะท้อนถึงการจัดการกับคดีทุจริตที่สังคมจับตามองอย่างจริงจัง
ก่อนเข้าฟังคำพิพากษา: ศรี สุวรรณ ยืนยันสู้คดี
ก่อนเริ่มอ่านคำพิพากษาในเช้าวันนี้ นายศรี สุวรรณ จรรยา ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า ตนเอง ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ตั้งแต่ชั้นจับกุมจนถึงศาล และยืนยันว่า ต้องการพิสูจน์ความจริง ผ่านกระบวนการยุติธรรม
นายศรี สุวรรณ ยังชี้ว่า คดีนี้มี แรงจูงใจทางการเมือง โดยมองว่าเป็นความพยายามสกัดไม่ให้ตนสามารถทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงได้อย่างเต็มที่ พร้อมยืนยันว่าหลักฐานของอัยการกว่า 4,773 หน้า มีหลายประเด็นที่พิรุธและอ่อน จนสามารถนำมาใช้ต่อสู้คดีได้
ในขณะเดียวกัน นายยศวริศ หรือ เจ๋ง ดอกจิก เดินทางมาถึงศาลก่อนเวลานัดหมาย โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใด ๆ และเดินขึ้นห้องพิจารณาคดีทันที
ย้อนรอยคดีเรียกรับทรัพย์สิน 1.5 ล้านบาท
คดีนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ วันที่ 12 มกราคม 2567 หลังจากอธิบดีกรมการข้าวได้เข้าแจ้งความต่อ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ว่าได้รับการเรียกรับเงินจำนวน 1.5 ล้านบาท จากกลุ่มผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้อง โดยเงินจำนวนนี้ถูกเรียกร้อง เพื่อแลกกับการไม่ยื่นเรื่องร้องเรียนประเด็นทุจริตที่เกี่ยวข้องกับกรมการข้าว
หลังการแจ้งความ ทางเจ้าหน้าที่ ปปป. ได้ทำการสืบสวนและวางแผนจับกุมผู้ต้องหาอย่างรอบคอบ ทำให้สามารถจับกุม นายศรี สุวรรณ จรรยา, นายยศวริศ ชูกล่อม และพวก ในเวลาต่อมา
โทษจำคุกและผลทางกฎหมาย
คำพิพากษาของศาลครั้งนี้มีความเข้มงวด เนื่องจากคดีเกี่ยวข้องกับ การทุจริตและเรียกรับทรัพย์สิน จากข้าราชการระดับสูง ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายและความไว้วางใจของประชาชน
นายยศวริศ ชูกล่อม (เจ๋ง ดอกจิก) จำคุก 6 ปี
นายศรี สุวรรณ จรรยา และพวก จำคุก 4 ปี
ไม่มีการรอลงอาญา สำหรับผู้ต้องหาทั้งหมด
การตัดสินนี้สะท้อนถึงแนวทางของศาลในการ ลงโทษผู้กระทำความผิดคดีทุจริตอย่างเด็ดขาด เพื่อเป็นตัวอย่างแก่สังคมและสร้างความเชื่อมั่นว่ากฎหมายไทยสามารถจัดการกับการทุจริตได้อย่างเข้มงวด
ข้อกล่าวหาและการปฏิเสธของจำเลย
ทั้งสองฝ่ายปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างต่อเนื่อง นายศรี สุวรรณ ชี้ว่า คดีนี้เป็นผลจากแรงจูงใจทางการเมือง โดยมองว่าการจับกุมมีเป้าหมายเพื่อ สกัดไม่ให้ตนทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง
ส่วน เจ๋ง ดอกจิก แม้ไม่ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อ แต่การปรากฏตัวต่อศาลก่อนเวลานัดหมายชี้ให้เห็นถึงความพร้อมในการเผชิญหน้ากับกระบวนการยุติธรรม
การสืบสวนและหลักฐานของอัยการ
คดีนี้อาศัยหลักฐานหลายรูปแบบ ทั้งเอกสารและพยานบุคคล รวมถึงหลักฐานการโอนเงินและเอกสารราชการของกรมการข้าว โดย อัยการรวบรวมหลักฐานกว่า 4,773 หน้า เพื่อนำเสนอให้ศาลพิจารณา
แม้จำเลยจะอ้างว่ามีข้อพิรุธในเอกสารดังกล่าว ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า หลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ความผิดฐานเรียกรับทรัพย์สิน
ผลกระทบต่อสังคมและวงการการเมือง
คดีเรียกรับทรัพย์สิน 1.5 ล้านบาทจากอธิบดีกรมการข้าวครั้งนี้ สร้างความสนใจในวงกว้างในสังคมไทย เนื่องจากเกี่ยวข้องกับ ข้าราชการระดับสูงและนักการเมือง ทำให้ประชาชนจับตามองว่าระบบยุติธรรมจะสามารถจัดการกับการทุจริตได้จริงหรือไม่
การพิพากษาจำคุก ไม่รอลงอาญา ถือเป็นการส่งสัญญาณว่า การทุจริตจะไม่ได้รับความยอมผ่อนปรน แม้ว่าจำเลยจะมีสถานะทางการเมืองหรือเป็นผู้นำองค์กรสำคัญ
บทเรียนสำคัญจากคดี
1. ความโปร่งใสในหน่วยงานรัฐ: การทุจริตในระดับข้าราชการสูงส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน การลงโทษอย่างเด็ดขาดช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบ
2. การใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด: ศาลไม่รอลงอาญาเป็นตัวอย่างการใช้กฎหมายกับคดีทุจริตที่ชัดเจน
3. บทบาทของ ปปป.: การสืบสวนที่รอบคอบและการวางแผนจับกุมมีความสำคัญต่อการพิสูจน์ความผิด
สรุป
การพิพากษาคดีเรียกรับทรัพย์สินจากอธิบดีกรมการข้าวครั้งนี้ ถือเป็น คดีสำคัญที่สังคมจับตามอง ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้ตัดสินจำคุก ศรี สุวรรณ จรรยา และ เจ๋ง ดอกจิก พร้อมพวก โดย ไม่รอลงอาญา เป็นการสะท้อนแนวทางการจัดการคดีทุจริตที่เด็ดขาดและโปร่งใส
คดีนี้ยังตอกย้ำความสำคัญของ ระบบยุติธรรม การตรวจสอบนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง และการสร้างมาตรการป้องกันการทุจริตในหน่วยงานราชการให้เกิดความโปร่งใสต่อสังคมไทย
ประชาชนและผู้ติดตามข่าวต่างรอคอยว่า ผลกระทบจากคดีนี้ จะช่วยสร้างระบบราชการที่โปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น และเป็นการเตือนผู้ที่คิดกระทำความผิดในระดับสูงว่า กฎหมายไทยไม่ละเว้นใคร
















