วิกฤตแรงงานกัมพูชา: 7 แสนคนไร้งานหลังปิดด่าน
สถาบันทรัพยากรการพัฒนากัมพูชา (CDRI) ออกมาเตือนถึงสถานการณ์วิกฤตที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นจากการปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชาซึ่งดำเนินต่อเนื่องมานานหลายเดือน โดยระบุว่าหากยังคงปิดด่านไปจนถึงสิ้นปี 2025 ความยากจนในครัวเรือนกัมพูชาอาจพุ่งสูงจาก 30% ไปแตะระดับ 50% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าตกใจและสะท้อนถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจและสังคมกัมพูชาในปัจจุบัน
หนึ่งในผลกระทบที่เห็นได้ชัดคือแรงงานกัมพูชาที่เคยทำงานในประเทศไทยกว่า 7 แสนคนต้องเดินทางกลับบ้านเกิด และส่วนใหญ่ยังคงไร้งานไร้อาชีพ เงินเก็บที่พกติดตัวกลับมานั้นกำลังลดลงเรื่อย ๆ จนหลายครัวเรือนเริ่มเข้าสู่ภาวะขาดสภาพคล่อง บางครอบครัวอาจต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อเลี้ยงชีพ ซึ่งทำให้ความเสี่ยงต่อการตกอยู่ในวังวนหนี้สินยิ่งเพิ่มขึ้น
CDRI เปิดเผยข้อมูลว่า นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์ดังกล่าว มีแรงงานกัมพูชาที่เดินทางกลับประเทศมากถึง 9.1 แสนคน แต่มีเพียง 21% เท่านั้นที่สามารถหางานทำใหม่ในประเทศ ส่วนอีกกว่า 79% หรือประมาณ 7 แสนคน ตกอยู่ในภาวะว่างงาน นับเป็นปัญหาที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เคยพึ่งพารายได้จากงานในไทยหรือการค้าขายตามแนวชายแดน และยังเคยส่งเงินกลับไปช่วยเหลือครอบครัว แต่เมื่อรายได้หายไปครอบครัวที่เคยพึ่งพาพวกเขาก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย
นอกจากด้านแรงงานแล้ว การปิดด่านชายแดนยังส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของกัมพูชา โดยเฉพาะในภาคการเกษตรซึ่งเป็นเสาหลักของประเทศ ฤดูกาลเก็บเกี่ยวปลายปีนี้อาจเผชิญปัญหาไม่สามารถส่งออกพืชผลมายังไทยได้ หากการปิดด่านยังคงยืดเยื้อ สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้เกษตรกรขาดรายได้ แต่ยังส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน การตลาด และความมั่นคงทางอาหารในวงกว้าง
การเตือนจาก CDRI สะท้อนถึงความท้าทายใหญ่ที่กัมพูชากำลังเผชิญ การแก้ไขไม่อาจพึ่งพาเพียงการเปิดด่านเท่านั้น แต่ต้องมีมาตรการรองรับแรงงานที่ตกงาน การสร้างโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจภายในประเทศ และความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น มิฉะนั้นภายในเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้า กัมพูชาอาจต้องเผชิญกับวิกฤตความยากจนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ
อ้างอิง สำนักข่าว Kiripost ของกัมพูชา















