อ.เฉลิมชัย เดือด! ซัดแรงถูกลากโยงการเมือง ปมด่านเขมร
อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เดือด! ถูกตัดต่อภาพโยงการเมือง ลั่น “บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง”
กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ทันที เมื่อ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติชื่อดังชาวเชียงราย เจ้าของผลงานศิลปะระดับตำนาน ทั้งวัดร่องขุ่นและผลงานสร้างสรรค์อีกนับไม่ถ้วน ออกมาอัดคลิปแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง หลังพบว่ามีผู้ไม่หวังดีนำภาพของตนไปตัดต่อร่วมกับบุคคลสำคัญทางการเมือง พร้อมแนบข้อความโจมตีเชิงการเมืองที่รุนแรง
ในคลิป อาจารย์เฉลิมชัยใช้ถ้อยคำดุดัน โวยเสียงดังและตำหนิการกระทำดังกล่าวอย่างหนัก โดยระบุชัดเจนว่า ตนไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และที่ผ่านมาได้ประกาศเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กลับถูกนำภาพไปโยงทางการเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งถือเป็นการละเมิดและบิดเบือนเจตนาของตนอย่างสิ้นเชิง
เหตุการณ์ที่จุดชนวนความไม่พอใจ
เรื่องราวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากมีผู้ตัดต่อภาพของอาจารย์เฉลิมชัย ให้อยู่ร่วมเฟรมกับบุคคลสำคัญทางการเมือง ได้แก่
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย
ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
พร้อมแนบข้อความโจมตีทางการเมืองอย่างรุนแรง ซึ่งถูกเผยแพร่ต่อในโลกโซเชียลจนกลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง
เมื่ออาจารย์เฉลิมชัยพบคลิปดังกล่าว จึงตัดสินใจอัดคลิปตอบโต้ทันที โดยใช้ถ้อยคำตรงไปตรงมา แสดงความไม่พอใจและตำหนิผู้ที่กระทำการตัดต่อดังกล่าวว่า “อย่าเอาตนไปด่าแทน” หากจะโจมตีใครก็ขอให้ใช้ตัวเอง ไม่ใช่นำผู้อื่นไปเกี่ยวข้อง
ถ้อยคำชัดเจน “ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง”
ในคลิป อาจารย์เฉลิมชัยกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า
“บอกไปหลายรอบแล้วว่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ก็ยังจะพยายามโยงไปให้ได้เนาะ”
เขาย้ำว่า ศิลปินมีหน้าที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะเพื่อสังคม ไม่ใช่เป็นเครื่องมือทางการเมือง และตนยืนยันมาตลอดว่าต้องการใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ข้องเกี่ยวกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
อาจารย์เฉลิมชัยยังระบุอีกว่า การนำภาพของตนไปใช้โจมตีทางการเมือง ไม่เพียงสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชน แต่ยังเป็นการไม่ให้เกียรติในฐานะศิลปินที่อุทิศชีวิตเพื่อศิลปะ ไม่ใช่เพื่อการต่อสู้ทางการเมือง
ทำไมการโยงศิลปินกับการเมืองถึงเป็นปัญหา?
ในสังคมไทย การเมืองเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหวและสร้างความแตกแยกได้ง่าย เมื่อบุคคลที่มีชื่อเสียงถูกนำไปโยงกับฝ่ายการเมืองใดฝ่ายหนึ่ง มักทำให้เกิดการตีความผิด ๆ และอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของบุคคลนั้น ๆ โดยตรง
กรณีของอาจารย์เฉลิมชัย ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า ศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ หากถูกนำไปตัดต่อภาพและเผยแพร่บนสื่อออนไลน์ ย่อมส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือในวงกว้าง และอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเขามีส่วนร่วม หรือสนับสนุนบุคคลทางการเมืองที่ถูกโยงเข้ามา
อาจารย์เฉลิมชัยกับจุดยืน “ศิลปินไม่ใช่เครื่องมือทางการเมือง”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อาจารย์เฉลิมชัยมีชื่อเสียงในฐานะศิลปินผู้สร้างผลงานศิลปะไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีจุดยืนที่ชัดเจนว่า ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หลายครั้งเขาออกมาพูดต่อหน้าสื่ออย่างตรงไปตรงมาว่า ศิลปินควรมุ่งเน้นการสร้างงานที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ มากกว่าการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมือง
ผลงานของอาจารย์ เช่น วัดร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย ได้กลายเป็นแลนด์มาร์กระดับโลก ที่สะท้อนความงดงามของศิลปะไทยร่วมสมัยและความศรัทธาในพุทธศาสนา สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เขาเลือกเส้นทางการทำงานที่เน้นคุณค่าทางศิลปะและวัฒนธรรม มากกว่าการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง
กระแสโซเชียลหลังคลิปตอบโต้
หลังจากคลิปของอาจารย์เฉลิมชัยถูกเผยแพร่ออกไป โลกออนไลน์ก็ต่างแสดงความเห็นอย่างหลากหลาย
หลายคนเห็นด้วยกับจุดยืนของอาจารย์ว่า ศิลปินไม่ควรถูกดึงเข้าไปในเกมการเมือง และชื่นชมที่เขากล้าแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา
บางส่วนวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมของผู้ที่ตัดต่อภาพว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
ขณะเดียวกันก็มีบางความคิดเห็นที่มองว่า การที่อาจารย์เฉลิมชัยต้องออกมาอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แสดงให้เห็นถึงปัญหาการใช้สื่อออนไลน์ในปัจจุบันที่ขาดความรับผิดชอบ
กรณีนี้ยังสะท้อนประเด็นทางกฎหมายเกี่ยวกับการนำภาพบุคคลไปตัดต่อและเผยแพร่ในลักษณะที่สร้างความเสียหาย ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวมถึงความผิดฐานหมิ่นประมาท หากมีการนำไปเผยแพร่เพื่อให้บุคคลเสียชื่อเสียง
ถึงแม้ในครั้งนี้อาจารย์เฉลิมชัยจะยังไม่ได้ประกาศว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมาย แต่การออกมาพูดอย่างรุนแรงก็อาจเป็นสัญญาณเตือนให้ผู้ที่ชอบสร้างข่าวปลอม หรือใช้ภาพตัดต่อเพื่อโจมตีทางการเมืองต้องระมัดระวังมากขึ้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอาจารย์เฉลิมชัย ถือเป็นกรณีตัวอย่างสำคัญที่ทำให้สังคมไทยต้องหันมาตั้งคำถามว่า
เราควรรับผิดชอบต่อการใช้สื่อออนไลน์มากน้อยเพียงใด?
การสร้างข่าวปลอมหรือการตัดต่อภาพเพื่อโจมตีทางการเมือง เป็นสิ่งที่ควรถูกยอมรับหรือไม่?
และที่สำคัญ บุคคลที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง ควรถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งเหล่านี้หรือเปล่า?
สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าการใช้สื่อออนไลน์อย่างไม่รับผิดชอบ อาจสร้างผลเสียต่อบุคคลและสังคมโดยรวมได้มากกว่าที่คิด
สรุป
กรณี อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ถูกนำภาพไปตัดต่อร่วมกับบุคคลทางการเมือง และถูกโยงไปสู่การโจมตีรุนแรงทางการเมือง ทำให้เขาต้องออกมาประกาศชัดเจนอีกครั้งว่า
เขา ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และไม่ต้องการถูกดึงเข้าไปเป็นเครื่องมือทางการเมือง
การนำภาพไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นการละเมิดและสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียง
ศิลปินควรได้รับการเคารพในบทบาทการสร้างงานศิลปะ มากกว่าการถูกใช้เป็นเครื่องมือในความขัดแย้งทางสังคม
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงทำให้สังคมไทยตระหนักถึงการใช้สื่อออนไลน์อย่างมีความรับผิดชอบ แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจว่า การเคารพสิทธิและเจตนาของผู้อื่น เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรถูกมองข้าม


















