โซเชียลเดือด! กัมพูชาออกเพลง “Don't Thai to the World” พาดพิงแรง ปลุกคนสูงวัย
MV เพลงใหม่จากกัมพูชา “Don't Thai to the World” พาดพิงไทย สร้างกระแสวิจารณ์รุนแรง
เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2568 โลกโซเชียลในกัมพูชาเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรง หลังผู้ใช้งานเฟซบุ๊กชื่อ យុវជធលฌឆบลี เผยแพร่มิวสิควิดีโอเพลงใหม่ที่มีชื่อว่า “Don't Thai to the World” ซึ่งเนื้อหาของเพลงพาดพิงถึงประเทศไทยอย่างตรงไปตรงมา และเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568
มิวสิควิดีโอดังกล่าวสร้างความตื่นตัวในโลกออนไลน์ เนื่องจากมีภาพนักร้องหญิงสวมเครื่องแบบคล้ายทหาร พร้อมหมวกลายพรางและผ้าพันคอที่มีตราสัญลักษณ์ชาติ ขณะที่เธอยืนอยู่บนเนินเขาหินร่วมกับกลุ่มคนถือธงชาติกัมพูชา มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา พร้อมทหารชาวกัมพูชาหลากหลายช่วงวัย ตั้งแต่หนุ่มกลางคนจนถึงผู้สูงอายุ
เนื้อหามิวสิควิดีโอ: พาดพิงไทยและชายแดน
ในมิวสิควิดีโอดังกล่าว มีการสลับภาพที่สื่อถึง การเผชิญหน้าและความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเนื้อเพลงใช้ถ้อยคำเชิงชาตินิยมและรุนแรง เช่น กล่าวหาประเทศไทยว่า “โกหกโลก” อ้างอิงเหตุการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
บางเนื้อหาในเพลงยังระบุว่า “ผู้นำไทยสั่งโจมตี” และ “ฆ่าชาวกัมพูชาผู้บริสุทธิ์” พร้อมเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่อ้างว่า ทหารไทยจับกุมทหารรักษาสันติภาพกัมพูชาในเดือนกรกฎาคม 2568 ซึ่งสร้างความตื่นตัวและความกังวลทั้งในประเทศไทยและกัมพูชา
นอกจากนี้ภาพใน MV ยังมีการตัดสลับอย่างมีจังหวะเพื่อสร้างอารมณ์ตึงเครียด ขณะที่นักร้องหญิงและกลุ่มคนถือธงชาติปรากฏเป็นภาพเด่น ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็น การใช้สื่อและศิลปะเพื่อวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองและประเด็นชาติพันธุ์
ที่มาของชื่อเพลง: “Don't Thai to the World”
ชื่อเพลง “Don't Thai to the World” มีความหมายเชิงสัญลักษณ์และต่อยอดมาจากวาทกรรม “Don't Thai to Me” ซึ่งเคยถูกใช้ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซียและสิงคโปร์ตั้งแต่ปี 2556 โดยมีนัยเชิงลบประมาณว่า “อย่ามาโกหก อย่าหลอกลวง อย่ามาเอาเปรียบ”
เพลงนี้จึงถือเป็นการต่อยอดวาทกรรมที่สะท้อนความรู้สึกรักชาติและความไม่พอใจต่อพฤติกรรมหรือเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกับประเทศไทย
การตอบสนองของผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย
หลังจากเพลงนี้เผยแพร่บนเฟซบุ๊กและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของกัมพูชา เกิดกระแสวิจารณ์แบ่งเป็นสองฝ่ายชัดเจน
1. ฝ่ายสนับสนุน: มองว่าเพลงนี้เป็นการแสดงออกถึงความรักชาติและการยืนหยัดของกัมพูชาในประเด็นประวัติศาสตร์และชายแดนที่มีข้อพิพาทกับไทย
2. ฝ่ายคัดค้าน: แสดงความกังวลว่าเพลงนี้อาจสร้าง ความตึงเครียดและความเข้าใจผิด ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ และอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ด้านการทูตและการท่องเที่ยว
ทั้งสองฝ่ายใช้แพลตฟอร์มออนไลน์อย่างเต็มที่ในการแสดงความคิดเห็น แชร์คลิป และสร้างวาทกรรมเกี่ยวกับเนื้อหาและภาพที่ปรากฏในมิวสิควิดีโอ
สื่อกัมพูชาบางส่วนมีส่วนร่วม
นอกจากผู้ใช้งานเฟซบุ๊กส่วนตัวแล้ว ยังพบว่าสื่อบางสำนักในกัมพูชาได้ นำเสนอข่าวหรือบทความเกี่ยวกับเพลงนี้ ทำให้เกิดการแพร่กระจายข้อมูลอย่างรวดเร็วและเข้าถึงผู้ชมจำนวนมาก
การที่สื่อและผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียหลายช่องทางนำเสนอเนื้อหานี้พร้อมภาพและข้อความเชิงวิพากษ์ ทำให้กระแส MV เพลง “Don't Thai to the World” กลายเป็น ประเด็นร้อนในภูมิภาค
บริบทเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
เพลงและเนื้อหาใน MV ถูกเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในเดือนกรกฎาคม 2568 ซึ่งเกิดข้อพิพาทและการเผชิญหน้าระหว่างทหารของทั้งสองฝ่าย
เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความกังวลในสังคมระหว่างประเทศ โดยมีรายงานว่ามีการ จับกุมทหารรักษาสันติภาพกัมพูชา และเกิดการสื่อสารผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งในระดับรัฐบาลและสื่อมวลชน
เพลงนี้จึงเป็นการสะท้อนและต่อยอด ความรู้สึกของประชาชนบางกลุ่มในกัมพูชา เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว แม้ว่าจะเป็นมุมมองเฉพาะกลุ่มและไม่จำเป็นต้องสะท้อนนโยบายของรัฐบาลกัมพูชาโดยตรง
ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
นักวิเคราะห์มองว่า แม้ว่าการผลิต MV เพลงนี้อาจเป็นเพียง การแสดงออกทางศิลปะและความรู้สึกรักชาติ ของประชาชนกัมพูชา แต่การพาดพิงและกล่าวหาเชิงรุนแรงต่อประเทศไทยอาจกระทบต่อ
ความเข้าใจและทัศนคติของประชาชนไทยต่อกัมพูชา
ความสัมพันธ์ด้านการทูตและความร่วมมือชายแดน
กิจกรรมด้านการค้าและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ
ดังนั้น เพลงนี้จึงเป็นตัวอย่างของ ผลกระทบของโซเชียลมีเดียและสื่อดิจิทัลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน
การใช้มิวสิควิดีโอและสื่อดิจิทัลในการสะท้อนความรู้สึกรักชาติและประเด็นประวัติศาสตร์ ถือเป็น ปรากฏการณ์การเมืองสมัยใหม่ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก
กรณีของ “Don't Thai to the World” ชี้ให้เห็นว่า
1. สื่อและศิลปะสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารเชิงการเมือง โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบรัฐบาล
2. ภาพและสัญลักษณ์ทางชาติพันธุ์ สามารถสร้างอารมณ์ร่วมและการตีความในมุมต่าง ๆ
3. โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่กระจายข้อมูลอย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถสร้างกระแสและความตึงเครียดระหว่างประเทศได้
ทั้งนี้ ผู้ชมควรตระหนักถึง บริบทของเนื้อหาและเหตุการณ์จริง ก่อนที่จะสร้างความเข้าใจผิดหรือใช้ความรุนแรงทางคำพูด
นักวิชาการด้านภูมิรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมองว่า เพลงนี้เป็น ตัวอย่างของการสร้างวาทกรรมเชิงลบผ่านสื่อบันเทิง ซึ่งอาจกระตุ้นความขัดแย้งระหว่างประชาชนโดยไม่จำเป็น
ส่วนประชาชนกัมพูชาบางกลุ่มสนับสนุนว่า การแสดงออกในลักษณะนี้สะท้อน ความรักชาติและความรู้สึกไม่พอใจต่อเหตุการณ์ในอดีต
ด้านประชาชนไทยบางส่วนเห็นว่า เพลงนี้อาจสร้าง ความเข้าใจผิดและบิดเบือนประวัติศาสตร์ จึงเรียกร้องให้สื่อไทยและสังคมออนไลน์ระมัดระวังในการตอบโต้และเผยแพร่ข้อมูล
บทสรุป: “Don't Thai to the World” และบทเรียนจากโซเชียลมีเดีย
กรณีเพลง “Don't Thai to the World” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ ผลกระทบของสื่อดิจิทัลและโซเชียลมีเดียต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
แม้เพลงนี้เป็นการสะท้อนความรู้สึกรักชาติและประเด็นประวัติศาสตร์ของประชาชนกัมพูชา แต่เนื้อหาที่พาดพิงถึงไทยอย่างตรงไปตรงมาและรุนแรง อาจก่อให้เกิด ความตึงเครียดทางสังคมและการเมือง
การแชร์และวิจารณ์เพลงในโซเชียลมีเดีย ทำให้เกิดการแสดงความคิดเห็นทั้งสนับสนุนและคัดค้าน ซึ่งสะท้อนถึง ความซับซ้อนของการสื่อสารยุคดิจิทัล
ประชาชนควรใช้วิจารณญาณในการตีความและไม่ตัดสินใจเพียงจากเนื้อหาเพียงบางส่วน
สุดท้าย กรณีนี้เป็น บทเรียนสำคัญสำหรับผู้สร้างเนื้อหาและผู้บริโภคสื่อออนไลน์ ว่า ควรระมัดระวังเรื่องการพาดพิงและการใช้สัญลักษณ์ทางชาติพันธุ์ เพราะอาจสร้างผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนและประเทศได้




















