สะพรึง! วิญญาณ “ลุงเจียน” เข้าสิงหญิงชรา ระหว่างพิธีเก็บศพ
ความคืบหน้าเหตุสลด เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ถูกรุมทำร้ายโดยสิงโต — ผลชันสูตรชี้ชัด ทำไมผู้ตายแน่นิ่งไม่ส่งเสียง ขณะที่สวนสัตว์ยกระดับมาตรการ-สิงโตตัวก่อเหตุถูกกักปรับพฤติกรรม
เหตุการณ์สลดที่สร้างความสะเทือนใจให้สังคม เมื่อเจ้าหน้าที่สวนสัตว์อาวุโสซึ่งมีอายุ 58 ปี ถูกฝูงสิงโตรุมทำร้ายจนเสียชีวิต ขณะปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ซาฟารี เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ล่าสุดความคืบหน้าทางคดีและทางนิติเวชเผยผลการชันสูตรเบื้องต้นที่อธิบายได้ชัดเจนว่าเหตุใดผู้เสียชีวิตจึงแน่นิ่งและไม่ส่งเสียงเรียกขอความช่วยเหลือในช่วงเกิดเหตุ ขณะเดียวกันสวนสัตว์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งปรับมาตรการความปลอดภัย รวมทั้งกักสิงโตทั้ง 5 ตัวที่ก่อเหตุเพื่อปรับพฤติกรรมและพิจารณามาตรการต่อไป
ผลการชันสูตรชี้สาเหตุที่ทำให้ผู้เสียชีวิตไม่ส่งเสียง
รายงานผลการชันสูตรทางนิติเวชเบื้องต้นซึ่งแพทย์ได้ตรวจบาดแผลภายนอกและภายใน ระบุรายละเอียดที่เป็นหลักฐานสำคัญหลายประการ ได้แก่
พบ กระดูกหักบริเวณต้นคอ/กระดูกสันหลังส่วนคอ ซึ่งส่งผลให้ผู้ได้รับบาดเจ็บ เคลื่อนไหวไม่ได้และไม่สามารถลุกหรือช่วยเหลือตัวเองได้ ในภาวะดังกล่าว ผู้ได้รับบาดเจ็บมักหมดความสามารถในการป้องกันตัวหรือพยายามหนี
บาดแผลฉกรรจ์บริเวณคอและหน้าอก รวมถึง การฉีกขาดของหลอดเลือดแดง และหลอดเลือดดำ ทำให้เกิดการเสียเลือดมากอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ผู้ได้รับบาดเจ็บช็อกและหมดสติในเวลาอันสั้น
มีการบาดเจ็บบริเวณหลอดลม/ลำคอ ที่อาจ ทำให้ไม่สามารถเปล่งเสียงหรือร้องขอความช่วยเหลือได้ แม้จะยังมีสติในช่วงเริ่มแรกก็ตาม
บาดแผลฉีกขาดที่บริเวณต้นขาและน่อง ทำให้เส้นเลือดสำคัญขาดและเลือดไหลไม่หยุด รวมกันแล้วเป็นสาเหตุให้เสียเลือดจนเสียชีวิตในที่สุด
สรุปได้ว่า การผสมผสานของบาดแผลกระดูกหักที่ต้นคอ (ซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวถูกจำกัด) บวกกับการฉีกขาดของหลอดเลือดและการบาดเจ็บบริเวณหลอดลม อธิบายได้ว่าเหตุใดผู้เสียชีวิตจึงไม่สามารถส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือหรือดิ้นให้หนีได้ก่อนจะถูกสิงโตรุมกัดจนเสียชีวิต แพทย์นิติเวชยังระบุว่าอวัยวะภายในยังอยู่ครบ ซึ่งยืนยันได้ว่าสภาพศพไม่ได้ถูกกินแทะ แต่เป็นบาดแผลเชิงทำร้ายที่รุนแรงและฉับพลัน
รายละเอียดการก่อเหตุ — ฝูงสิงโต 5 ตัวรุมทำร้าย
จากพยานและคลิปจากกล้องวงจรปิดที่มีอยู่ในพื้นที่ เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะที่เจ้าหน้าที่ซึ่งมีความชำนาญในการดูแลสัตว์ใหญ่ ได้ลงจากรถเพื่อเก็บของที่ตกหล่นบริเวณทางเดินภายในโซนสิงโต ขณะนั้นสิงโตตัวหนึ่งซึ่งขณะเกิดเหตุอยู่ห่างประมาณ 10 เมตร เดินเข้ามาสัมผัสก่อนจะตะครุบจากด้านหลัง แล้วลากลงกับพื้น ต่อมาสิงโตอีก 3–4 ตัวได้เข้ามารุมกัดซ้ำ จนผู้เสียชีวิตได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยผู้เห็นเหตุการณ์พยายามบีบแตรรถ ไล่สิงโต และตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่การรุมกัดเกิดขึ้นรวดเร็วและต่อเนื่องเป็นเวลาหลายนาที ทำให้ผู้ปฏิบัติการภาคพื้นและนักท่องเที่ยวไม่สามารถยับยั้งเหตุได้ทันเวลา
พยานบางคนระบุว่าการรุมกัดกินเวลานานหลายนาที — ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่วิกฤต เพราะการเสียเลือดและบาดแผลฉกรรจ์เกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ส่งผลให้การช่วยเหลือจากภายนอกไม่ทันแก้สถานการณ์ได้
สวนสัตว์สั่งกักสิงโต 5 ตัว ปรับพฤติกรรม-ห้ามโชว์ใกล้ชิดนักท่องเที่ยว
รัฐบาลและกรมอุทยานฯ ได้แถลงมาตรการฉุกเฉินหลังเกิดเหตุ โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้
1. สั่งพักการให้บริการโซนซาฟารีที่มีสัตว์ดุร้ายชั่วคราว เพื่อให้สวนสัตว์ทบทวนมาตรการและจัดทำแผนความปลอดภัยใหม่ทั้งหมด
2. สิงโต 5 ตัวที่ก่อเหตุ (โดยเฉพาะตัวที่เป็นต้นเหตุ) ถูกนำเข้าไปกักภายในกรงแยกเพื่อประเมินพฤติกรรมและดำเนินการปรับพฤติกรรมอย่างเข้มงวด — หากสัตว์ไม่สามารถปรับได้ จะมีการพิจารณาย้ายออกจากพื้นที่สาธารณะต่อไป
3. กรมอุทยานเตรียม ตรวจสอบการครอบครองสัตว์ ทั้ง 32 ตัวของสวนสัตว์แห่งนี้ว่าเป็นไปตามกฎหมาย พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องหรือไม่ พร้อมกำหนดให้สวนสัตว์ส่งแผนมาตรการความปลอดภัยภายในเวลาที่กำหนด
4. เน้นย้ำว่า ห้ามจัดให้ประชาชนเข้าใกล้ถ่ายรูปหรือสัมผัสสัตว์ดุร้าย อีกต่อไป พร้อมทั้งเพิ่มการตรวจสอบสวนสัตว์อีกจำนวนหนึ่งทั่วประเทศเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย
ด้านสวนสัตว์แจ้งว่าเจ้าหน้าที่ จะร่วมกับกรมอุทยานและผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่าเพื่อหามาตรการเชิงป้องกันใหม่ เช่น การเพิ่มรั้วกั้น การติดตั้งระบบเตือนภัยฉุกเฉิน การทบทวนขั้นตอนปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน และการฝึกซ้อมการกู้ภัยภายในพื้นที่
คำยืนยันและการเยียวยาครอบครัว — เงินช่วยเหลือเบื้องต้นพร้อมพิจารณาชดเชย
ตัวแทนสวนสัตว์และบริษัทแจ้งว่ามีการเข้าร่วมพิธีและหารือเรื่องการเยียวยากับครอบครัวผู้เสียชีวิต โดยระบุ เงินช่วยเหลือเบื้องต้นจากกองทุนสวัสดิการของบริษัทจำนวน 31,500 บาท จะมอบให้แก่ครอบครัวทันที ขณะเดียวกันเรื่องการชดเชยอย่างเป็นทางการจะต้องรอผลการชันสูตรอย่างละเอียดและรายงานทางวิชาการฉบับเต็มภายใน 3 วัน เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาความเหมาะสมของการชดเชยต่อไป
พิธีกรรมตามความเชื่อของชาวมอญและเหตุการณ์สะเทือนใจในงานเก็บศพ
ครอบครัวผู้เสียชีวิตซึ่งนับถือขนบธรรมเนียมชาวมอญ ได้จัดพิธี เก็บศพไว้ที่วัดเป็นเวลา 3 ปี เนื่องจากถือว่าการตายอย่างผิดธรรมชาติอาจส่งผลกระทบต่อญาติพี่น้องหากทำการฌาปนกิจทันที หลังครบกำหนดจะจัดพิธีสวดอภิธรรม 3 วัน 3 คืน ก่อนทำการฌาปนกิจตามหลักพุทธศาสนา
ระหว่างพิธีเก็บศพเมื่อเร็ว ๆ นี้ นางสาวรัตนากร ภรรยาของผู้เสียชีวิต เล่าว่าเกิดเหตุการณ์สะเทือนใจขึ้น ขณะที่มีหญิงชรารายหนึ่งในพิธีอยู่ในอาการครวญครางด้วยความเจ็บปวดราวกับสื่อสารกับอีกโลกหนึ่ง นางสาวรัตนากรเล่าด้วยความสั่นเครือว่า หญิงชราดังกล่าวพูดถึงผู้ตาย ราวกับเห็นและกอดสามีเป็นครั้งสุดท้าย และกล่าวปลอบโยนให้ไปสู่ภพภูมิที่ดี ทั้งนี้หญิงชราดังกล่าวเองก็ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่าเธอไม่รู้สึกตัวเมื่อเกิดเรื่อง เพียงเห็นภาพผู้ตายเท่านั้น — เหตุการณ์นี้สร้างความโศกเศร้าและปลอบประโลมจิตใจให้ครอบครัวในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนเก็บศพไว้ตามประเพณี
คำถามต่อระบบความปลอดภัย สาธารณชนเรียกร้องความรับผิดชอบ
เหตุการณ์ครั้งนี้ได้จุดประเด็นในสังคมเรื่อง ความปลอดภัยของสวนสัตว์ และการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กับสัตว์ดุร้าย หลายฝ่ายเรียกร้องให้มีการตรวจสอบอย่างโปร่งใสถึงสาเหตุการลงจากยานพาหนะของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ข้อกำกับปฏิบัติเมื่อของหล่นในโซนสัตว์ การติดตั้งกล้องวงจรปิดหรือระบบเตือนภัยที่เพียงพอ รวมถึงการอบรมซ้อมความพร้อมเพื่อรับมือเหตุฉุกเฉิน
นักวิชาการด้านสัตว์ป่าชี้ว่าการเลี้ยงสัตว์ป่าดุร้ายในสวนเปิดต้องมี มาตรฐานการกักขังที่เข้มงวด ระบบคุมความปลอดภัยที่ไม่ให้มนุษย์เข้าใกล้ได้โดยง่าย และมีมาตรการฉุกเฉินที่สามารถเรียกช่วยเหลือได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุ
ทางออกเชิงนโยบายและมุมมองอนาคต
กรมอุทยานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เสนอแนวทางระยะสั้นและระยะยาว เช่น
เพิ่มความถี่การตรวจสอบสวนสัตว์และสถานที่เลี้ยงสัตว์ป่า
ทบทวนการอนุญาตครอบครองสัตว์ป่าดุร้าย และการรับรองความพร้อมของสถานที่เลี้ยง
บังคับใช้มาตรฐานการฝึกเจ้าหน้าที่และระบบตอบโต้เหตุฉุกเฉิน
ห้ามการจัดกิจกรรมที่ให้ประชาชนเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายเพื่อถ่ายรูปหรือสัมผัสใกล้ชิด
แนวทางเหล่านี้ต้องอาศัยการบังคับใช้กฎหมายที่ชัดเจน การร่วมมือจากสวนสัตว์ทุกแห่ง และการมีส่วนร่วมของสาธารณชนเพื่อกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
บทสรุป
เหตุการณ์เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ถูกสิงโตรุมทำร้ายจนเสียชีวิตเป็นความสูญเสียทั้งต่อครอบครัวและต่อสังคม เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงช่องว่างในมาตรการความปลอดภัยของสวนสัตว์และความเสี่ยงที่มาพร้อมกับการจัดแสดงสัตว์ป่าดุร้าย สรุปจากผลการชันสูตรทางนิติเวช เบื้องต้นชี้ว่าบาดแผลที่รุนแรงบริเวณต้นคอ หลอดเลือดฉีกขาด และบาดเจ็บบริเวณหลอดลม เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้เสียชีวิตไม่สามารถส่งเสียงขอความช่วยเหลือได้ ก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ขณะที่สวนสัตว์และกรมอุทยานได้เร่งดำเนินการทั้งในด้านการกักสัตว์เพื่อปรับพฤติกรรม ตรวจสอบการครอบครอง และยกระดับมาตรการความปลอดภัย พร้อมทั้งให้การช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างเร่งด่วน เรื่องนี้จะเป็นบททดสอบสำคัญของการบริหารจัดการสวนสัตว์ในประเทศว่าจะแก้ไขปรับปรุงเพื่อป้องกันเหตุซ้ำได้มากน้อยเพียงใด และสังคมยังคงจับตาดูผลการสืบสวนสอบสวนและแผนปรับปรุงที่ตามมาอย่างใกล้ชิด














