สิงโต 5 ตัว หลังทําร้ายเจ้าหน้าที่ จะเจอชะตากรรมแบบไหน?
ช็อกวงการสวนสัตว์ ลุงเจียนวัย 58 ปี ถูกสิงโตรุมทำร้ายเสียชีวิต ครอบครัวจัดพิธีตามความเชื่อมอญ ด้านกรมอุทยานสั่งยกระดับมาตรการความปลอดภัย
เหตุการณ์สะเทือนขวัญในวงการสวนสัตว์เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 หลังจาก ลุงเจียน จังคะรัสมี อายุ 58 ปี ถูกสิงโตรุมทำร้ายจนเสียชีวิตกลางสวนสัตว์ชื่อดังในประเทศไทย ซึ่งสร้างความตกใจให้กับทั้งเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ นักท่องเที่ยว และผู้ติดตามข่าวในวงกว้าง
การจัดการศพตามความเชื่อของครอบครัว
ล่าสุด เมื่อเวลา 10:00 น. วันที่ 11 กันยายน 2568 ณ สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ นางสาวรัตนา รังคะรัสมี อายุ 51 ปี น้องสาวของผู้เสียชีวิต ได้เดินทางมาทำเรื่องรับศพเพื่อนำไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
น.ส.รัตนาได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า หลังจากนี้ครอบครัวจะปฏิบัติตาม ความเชื่อของชาวมอญ ซึ่งถือว่าการเสียชีวิตอย่างผิดธรรมชาติ หากนำศพไปฌาปนกิจทันที อาจส่งผลต่อคนในครอบครัว
โดยระบุรายละเอียดขั้นตอนดังนี้:
1. นำร่างผู้เสียชีวิตเข้าที่เก็บศพของวัดเป็นเวลา 3 ปี เพื่อให้ศีลให้วิญญาณผู้เสียชีวิตสงบและปรับสมดุล
2. หลังครบกำหนด 3 ปี จะจัด พิธีสวดอภิธรรม 3 วัน 3 คืน
3. จากนั้นจึงจะทำ พิธีฌาปนกิจตามหลักศาสนาพุทธ
น.ส.รัตนายังกล่าวเพิ่มเติมว่า ครอบครัวได้เตรียมชุดที่ผู้เสียชีวิตชอบใส่มาเปลี่ยนให้กับร่าง เพื่อให้เป็นไปตามพิธีกรรมและความเชื่อของครอบครัว
มาตรการความปลอดภัยสวนสัตว์และคำสั่งของกรมอุทยานฯ
ด้าน นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุ ได้สั่งพักการให้บริการซาฟารีโซนสัตว์ดุร้ายชั่วคราว เพื่อให้สวนสัตว์ทบทวนและปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยใหม่ทั้งหมด โดยยกระดับมาตรฐานสูงสุด
นอกจากนี้ นายอรรถพลได้ชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยและการตรวจสอบสวนสัตว์ในประเทศไทยดังนี้:
ตรวจสอบการครอบครองสัตว์ป่า: กรมอุทยานฯ จะตรวจสอบการครอบครอง สิงโต 32 ตัว ของสวนสัตว์ดังกล่าวว่าได้ถูกต้องตาม พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 หรือไม่
กำหนดให้สวนสัตว์ส่ง แผนมาตรการความปลอดภัยภายใน 2 วัน
เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสวนสัตว์อีก 5 แห่งทั่วประเทศ จากเดิมที่ตรวจทุก 1–3 เดือน
เน้นความปลอดภัยนักท่องเที่ยว: ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าใกล้สัตว์ดุร้าย เช่น เสือ สิงโต หรือช้าง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันมีผู้เลี้ยงสิงโตทั้งหมด 85 ราย รวม 620 ตัว ส่วนใหญ่เป็นสวนสัตว์ 75 ราย และผู้เพาะพันธุ์ทั่วไป 10 ราย จังหวัดที่มีการเลี้ยงสิงโตมากที่สุดคือ ฉะเชิงเทรา จำนวน 119 ตัว
การกักขังและปรับพฤติกรรมสิงโตที่ก่อเหตุ
อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า สิงโต 5 ตัวที่ก่อเหตุทำร้ายเจ้าหน้าที่ จะถูกกักไว้และปรับพฤติกรรมอย่างเข้มงวด ไม่อนุญาตให้ออกมาในพื้นที่เปิด เนื่องจากถือว่ามีประวัติ ทำร้ายมนุษย์ หากปล่อยให้อยู่ในโซนเปิดอาจเป็นอันตรายต่อทั้งเจ้าหน้าที่และนักท่องเที่ยว
นายอรรถพลยังเน้นย้ำว่า การให้ผู้เยี่ยมชมสวนสัตว์เข้าใกล้สัตว์ดุร้ายเพื่อถ่ายรูปหรือสัมผัสใกล้ชิดนั้น ไม่ปลอดภัยและไม่ควรเกิดขึ้นอีก เพราะไม่สามารถควบคุมอารมณ์และสัญชาตญาณของสัตว์ได้
บทเรียนจากเหตุการณ์และข้อสังเกต
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการเตือนถึงความเสี่ยงของการจัดแสดงและสัมผัสสัตว์ดุร้ายในสวนสัตว์ ทั้งต่อเจ้าหน้าที่และนักท่องเที่ยว
1. ความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่: เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในโซนสัตว์ดุร้ายต้องได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวด มีมาตรการป้องกันและควบคุมสัตว์อย่างเหมาะสม
2. มาตรการสำหรับนักท่องเที่ยว: นักท่องเที่ยวไม่ควรเข้าใกล้สัตว์ดุร้าย และควรมีแนวทางกำกับดูแลอย่างเข้มงวดจากสวนสัตว์
3. การตรวจสอบการครอบครองสัตว์: ต้องตรวจสอบเอกสารการครอบครองสัตว์และการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
4. การจัดการสัตว์ที่ก่อเหตุรุนแรง: สัตว์ที่เคยก่อเหตุทำร้ายมนุษย์ต้องถูกแยกและปรับพฤติกรรมก่อนนำกลับเข้าสู่โซนเปิด
ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่าและพฤติกรรมสัตว์ชี้ว่า การเลี้ยงสัตว์ดุร้ายในสวนสัตว์จำเป็นต้องมี มาตรการควบคุมอย่างเข้มงวด ทั้งด้านสภาพแวดล้อม การฝึกสัตว์ และการจัดโซนสำหรับมนุษย์และสัตว์
การปล่อยให้นักท่องเที่ยวเข้าใกล้สัตว์ดุร้าย เช่น สิงโต เสือ หรือช้าง เสี่ยงต่ออุบัติเหตุสูงมาก
การปรับพฤติกรรมสัตว์ดุร้ายจำเป็นต้องใช้เวลาและความเชี่ยวชาญ เพราะสัตว์อาจตอบสนองด้วยความรุนแรงหากรู้สึกถูกคุกคาม
มาตรการของสวนสัตว์ในอนาคต
สวนสัตว์ที่เกิดเหตุได้ออกประกาศว่า จะปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยในทุกจุด พร้อมเพิ่มกำแพงกั้น การจัดโซนแยกสัตว์ดุร้าย และเพิ่มเจ้าหน้าที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ สวนสัตว์อื่นๆ ในประเทศไทยยังถูก กรมอุทยานฯ ตรวจสอบเพิ่มเติม เพื่อยกระดับมาตรการความปลอดภัย และลดความเสี่ยงต่อเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นซ้ำ
บทสรุป
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหรือสวนสัตว์ที่มีชื่อเสียง แต่ ความเสี่ยงจากสัตว์ดุร้ายยังมีอยู่เสมอ การวางมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด การตรวจสอบสัตว์ และการให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่และนักท่องเที่ยวเป็นสิ่งจำเป็น
สำหรับครอบครัวของผู้เสียชีวิต การทำพิธีตามความเชื่อมอญ และการสวดอภิธรรมเพื่อระลึกถึงผู้จากไป ถือเป็นการปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีและเป็นการให้เกียรติแก่ผู้เสียชีวิต
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ย้ำว่าการควบคุมและตรวจสอบสวนสัตว์อย่างเข้มงวดจะช่วยลดความเสี่ยงอุบัติเหตุในอนาคต และทำให้ทั้งเจ้าหน้าที่และนักท่องเที่ยวมีความปลอดภัยมากขึ้น





















