คืบหน้า! โครงการ “คนละครึ่ง” เตรียมเริ่มใน 2 สัปดาห์ หลัง ครม.แถลงนโยบาย
รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเผยความคืบหน้า “คนละครึ่ง” รุ่นใหม่ คาดเริ่มภายใน 2 สัปดาห์หลัง ครม.อนุทินแถลงนโยบาย เตรียมอัปเกรดขยายกลุ่มผู้ใช้–ร้านค้า
โครงการ “คนละครึ่ง” ถือเป็นหนึ่งในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และสร้างแรงกระเพื่อมในระบบเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ออกมาเปิดเผยความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับการดำเนินการโครงการคนละครึ่งในรอบใหม่ โดยยืนยันว่า หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน คาดว่าจะสามารถเริ่มโครงการได้ภายใน 2 สัปดาห์หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภา
โครงการคนละครึ่ง: จากความสำเร็จเดิมสู่การอัปเกรดครั้งใหม่
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โครงการคนละครึ่งได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากประชาชนทุกสาขาอาชีพ เพราะเป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของประชาชน และช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อย ร้านอาหาร ร้านขายของชำ และตลาดท้องถิ่น มีรายได้หมุนเวียนมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็น “Win–Win Policy” ที่ทั้งผู้บริโภคและผู้ค้าต่างได้ประโยชน์ร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม หลังการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล กระแสความคาดหวังจากประชาชนก็เพิ่มสูงขึ้น หลายฝ่ายจับตามองว่าโครงการจะกลับมาในรูปแบบไหน และจะมีการขยายสิทธิ์หรือวงเงินเพิ่มขึ้นหรือไม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน
ความพร้อมด้านงบประมาณ: เริ่มต้นที่ 25,000 ล้านบาท
นายสิริพงศ์เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมีความพร้อมอย่างเต็มที่ ทั้งในแง่ระบบรองรับการใช้งาน แอปพลิเคชัน และงบประมาณ โดยเบื้องต้น ได้เตรียมกรอบวงเงินสำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจไว้ที่ 25,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังมีความตั้งใจที่จะหางบประมาณเพิ่มเติม เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
อัปเกรดโครงการ: ขยายกลุ่มผู้ใช้สิทธิ์
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกจับตาคือ การขยายกลุ่มเป้าหมายของโครงการ ซึ่งนายสิริพงศ์เปิดเผยว่า มีแนวคิดที่จะปรับลดเกณฑ์อายุของผู้รับสิทธิ์จากเดิมที่ 18 ปีลงมาให้ครอบคลุมกลุ่มเยาวชนมากขึ้น รวมถึงอาจพิจารณาเปิดสิทธิ์ให้แก่ผู้ที่ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือสิทธิประโยชน์จากโครงการอื่น ๆ ของภาครัฐ เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายที่กว้างขวางและทั่วถึง
ผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น:
กลุ่มนักเรียน นักศึกษา หรือวัยทำงานตอนต้นจะมีโอกาสเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือมากขึ้น
ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถใช้สิทธิ์ควบคู่กับมาตรการอื่น ทำให้มีเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้นในครัวเรือน
กระจายกำลังซื้อไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะชุมชนเมืองรองและพื้นที่ชนบท
อัปเกรดโครงการ: ขยายร้านค้าเข้าร่วม
จากเดิมที่โครงการเน้นสนับสนุนร้านค้ารายย่อย เช่น ร้านข้าวแกง รถเข็น ตลาดสด ร้านขายของชำ แต่รอบใหม่นี้ มีแนวคิดที่จะ ขยายไปยังร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีอย่างถูกต้อง เช่น ร้านอาหารขนาดกลาง ร้านสะดวกซื้อที่เป็นแฟรนไชส์ท้องถิ่น หรือร้านค้าปลีกที่ขึ้นทะเบียนกับกรมสรรพากร เพื่อให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมีนัยสำคัญมากขึ้น
สิ่งนี้ถือว่าเป็นการ “เชื่อมต่อเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบภาษี” อย่างเป็นรูปธรรม เพราะเมื่อร้านค้าเหล่านี้เข้ามาร่วมโครงการ จะทำให้การใช้จ่ายของประชาชนมีช่องทางมากขึ้น ขณะเดียวกันภาครัฐก็สามารถเก็บข้อมูลเชิงเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคได้ละเอียดกว่าเดิม
หนึ่งในประเด็นที่เรียกเสียงฮือฮาคือ แนวคิดของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่มองว่า ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งไม่ควรถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลัง นายสิริพงศ์ย้ำว่า นี่คือแรงจูงใจสำคัญ เพราะผู้ค้าจำนวนมากยังกังวลว่าหากเข้าสู่ระบบแล้ว จะถูก “เช็กบิลย้อนหลัง” ทำให้ไม่กล้าร่วมโครงการ
การยืนยันเช่นนี้จะช่วยให้ผู้ค้าสบายใจมากขึ้น และยอมเข้าสู่ระบบภาษีอย่างถูกต้องในอนาคต โดยไม่รู้สึกว่าต้องรับภาระเกินควรจากอดีต
ข้อดีที่คาดว่าจะเกิดขึ้น:
ผู้ประกอบการรายย่อยกล้าที่จะสมัครเข้าร่วมโครงการมากขึ้น
ภาครัฐสามารถขยายฐานผู้เสียภาษีในอนาคตได้อย่างนุ่มนวล
ระบบเศรษฐกิจมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ง่ายขึ้น
ประเด็นวงเงินใช้จ่ายต่อวัน
แม้จะยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน แต่นายสิริพงศ์ยอมรับว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาเรื่องการเพิ่มวงเงินใช้จ่ายต่อวัน เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นในปัจจุบัน แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงงบประมาณและความเหมาะสมเป็นหลัก
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม
การกลับมาของโครงการคนละครึ่งในรอบใหม่นี้ ไม่ได้เป็นเพียงมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพเท่านั้น แต่ยังมีผลเชิงบวกในหลายมิติ ได้แก่
1. กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก – เมื่อประชาชนมีเงินใช้จ่ายมากขึ้น ร้านค้ารายย่อยในชุมชนจะได้ประโยชน์โดยตรง
2. สร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจ – เมื่อการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น จะกระตุ้นให้ผู้ประกอบการกล้าลงทุนและจ้างงานมากขึ้น
3. ลดความเหลื่อมล้ำ – การขยายสิทธิ์ไปยังผู้มีรายได้น้อยและผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะช่วยให้ประชาชนกลุ่มเปราะบางมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
4. ปรับตัวสู่ระบบดิจิทัล – การใช้แอปพลิเคชันในการจ่ายเงินจะทำให้ประชาชนคุ้นชินกับระบบการเงินดิจิทัล ซึ่งเป็นแนวโน้มสำคัญของเศรษฐกิจในอนาคต
บทสรุป: คนละครึ่งคือความหวังใหม่
โครงการคนละครึ่งรุ่นใหม่ภายใต้รัฐบาลอนุทินกำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นมาตรการที่เข้าถึงประชาชนได้รวดเร็ว และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน คาดว่าประชาชนจะได้ใช้สิทธิ์ภายใน 2 สัปดาห์หลังการแถลงนโยบายของครม.
ไม่เพียงแค่ช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ แต่ยังสะท้อนถึงแนวทางเศรษฐกิจแบบใหม่ที่มุ่งเน้นการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนและผู้ประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมอย่างสมัครใจ โดยไม่กดดันเกินไป พร้อมทั้งผลักดันเศรษฐกิจไทยให้ก้าวสู่ระบบที่โปร่งใสและยั่งยืนในอนาคต

















