เดือด! ฮุนเซน จวกไทย ล้อมลวดหนาม ชาวเขมรเดือดร้อนหนัก
ฮุนเซน ประท้วงไทย ปมชายแดนกัมพูชา-ไทย หลังติดตั้งลวดหนามและกำหนดเขตแดนฝ่ายเดียว
เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2568 เกิดความตึงเครียดทางการทูตระหว่างไทยและกัมพูชา หลังจาก สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานวุฒิสภากัมพูชา โพสต์แถลงการณ์ของ กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อประท้วงการกระทำของกองทัพไทยในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีชุมชนชาวกัมพูชาอาศัยอยู่มาหลายทศวรรษ
แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า การติดตั้งสิ่งกีดขวางและการกำหนดเขตแดนโดยฝ่ายไทย ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อครอบครัวชาวกัมพูชาในพื้นที่ และถือเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับ
การติดตั้งสิ่งกีดขวางและผลกระทบต่อชาวบ้าน
ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 กองทัพไทยได้ดำเนินการติดตั้ง ลวดหนาม ตาข่าย รั้วกั้น และยางรถยนต์ ในหมู่บ้านสองแห่งในตำบลโอเบจอร์น อำเภอโอชรอฟ จังหวัดบันเตียเมียนเจย ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนที่ชาวกัมพูชามีประวัติการอาศัยอยู่มายาวนาน
การกระทำดังกล่าวส่งผลให้ ครอบครัวชาวกัมพูชาถูกขับไล่ออกจากบ้านและที่ดินทำกิน สร้างความเดือดร้อนทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม โดยหลายครอบครัวยังรอการเยียวยาจากทั้งสองฝ่าย
ในแถลงการณ์ระบุชัดเจนว่า การดำเนินการของไทยถือเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ทั้งสองประเทศเคยตกลงร่วมกัน
คำสั่งจากกองทัพไทย: ข้อเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาย้ายออก
เมื่อวันที่ 26 และ 28 สิงหาคม 2568 พลตรี วัน ชนะ สวัสดี ผู้อำนวยการสำนักงานประสานงานภารกิจเพื่อความมั่นคงแห่งชาติของไทย ออก คำขาดให้ชาวกัมพูชาหมู่บ้านจ๊อกเจอพยพออกจากพื้นที่ภายใน 3–6 เดือน พร้อมติดตั้งป้ายประกาศและส่งหนังสืออย่างเป็นทางการจากผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วถึงผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย
การกระทำดังกล่าวถือเป็นการ กำหนดเขตแดนฝ่ายเดียวโดยใช้กำลังทหาร ซึ่งทำให้เกิดความกังวลอย่างหนักทั้งในด้านสิทธิมนุษยชนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ
กัมพูชาอ้างว่า การกระทำของไทย ละเมิดข้อตกลงหลายฉบับ ได้แก่
1. บันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 – ระบุให้ทั้งสองประเทศเคารพสิทธิการอยู่อาศัยและสถานะปัจจุบันของประชาชนในพื้นที่ชายแดน
2. ข้อตกลงหยุดยิง 28 กรกฎาคม 2568 – ป้องกันการปะทะและความรุนแรงในชายแดน
3. มติและแนวทางประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) เดือนสิงหาคม 2568 – กำหนดให้การแก้ไขปัญหาชายแดนต้องอาศัยการเจรจาระหว่างสองฝ่าย
การติดตั้งลวดหนามและการกำหนดเขตแดนฝ่ายเดียว ถือเป็น การละเมิดเจตนารมณ์ของการประชุม GBC-JBC และขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
จุดยืนของรัฐบาลกัมพูชา
รัฐบาลกัมพูชายืนยันว่า มุ่งมั่นแก้ไขข้อพิพาทชายแดนอย่างสันติ โดยย้ำว่าการแก้ไขปัญหาต้องเป็นไปตาม กฎหมายระหว่างประเทศและข้อตกลงร่วม
ในแถลงการณ์วันที่ 3 กันยายน 2568 ณ กรุงพนมเปญ รัฐบาลกัมพูชาย้ำว่า
ต้อง คงสถานะเดิมของประชาชนในพื้นที่ จนกว่าจะได้ข้อสรุป
การเจรจาต้องผ่าน GBC และ JBC เพื่อให้เป็นไปอย่างถูกต้อง
การแก้ไขปัญหาชายแดนต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน
รัฐบาลกัมพูชายังชี้ว่าการดำเนินการฝ่ายเดียวอาจสร้าง ความตึงเครียดทางการเมืองและสังคม และอาจเป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาในระยะยาว
ผลกระทบต่อชาวบ้านและสังคมชายแดน
การติดตั้งสิ่งกีดขวางและการย้ายประชาชน มีผลกระทบหลายด้าน ได้แก่
1. เศรษฐกิจ – ชาวกัมพูชาส่วนใหญ่ใช้พื้นที่ดังกล่าวทำการเกษตรและทำมาหากิน การย้ายออกหมายถึงการสูญเสียรายได้และที่ดินทำกิน
2. สังคมและชุมชน – ครอบครัวถูกแยกจากบ้านและชุมชนเดิม เกิดความเครียดและความขัดแย้งภายในพื้นที่
3. สิทธิและมนุษยธรรม – การบังคับย้ายอาจละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิการอยู่อาศัยที่ชาวบ้านเคยได้รับการคุ้มครองตาม MOU และข้อตกลงหยุดยิง
4. ความมั่นคงชายแดน – การดำเนินการฝ่ายเดียวโดยใช้กำลังทหารอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งและความรุนแรง
ทั้งนี้ การรักษาสถานะเดิมของชาวบ้านและการแก้ไขปัญหาผ่าน กลไก GBC-JBC ถือเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด
ความสำคัญของ GBC และ JBC
1. คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) – ทำหน้าที่ติดตามและกำหนดเขตแดน รวมถึงแก้ไขข้อพิพาทที่เกิดขึ้น
2. คณะกรรมการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) – ทำหน้าที่ประชุมร่วมระหว่างเจ้าหน้าที่ไทย-กัมพูชา เพื่อหาข้อสรุปและมาตรการแก้ไขปัญหา
การดำเนินการผ่านสองกลไกนี้ ช่วยให้การแก้ไขปัญหาเป็นไป อย่างสันติและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ลดความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งและความไม่พอใจของประชาชน
การตอบโต้และอนาคตความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
การโพสต์แถลงการณ์ของสมเด็จฮุน เซน แสดงถึง ความกังวลของกัมพูชาต่อการละเมิดสิทธิชาวบ้าน และส่งสัญญาณเตือนให้ไทยคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ด้านไทยเองต้องพิจารณา สมดุลระหว่างความมั่นคงชายแดน สิทธิของชาวไทย และการรักษาสัมพันธ์กับกัมพูชา การดำเนินการฝ่ายเดียวอาจกระทบความเชื่อมั่นและนำไปสู่ข้อพิพาทระหว่างประเทศในอนาคต
อนาคตของข้อพิพาทชายแดนในพื้นที่ตำบลโอเบจอร์น ขึ้นอยู่กับการประชุม GBC และ JBC ซึ่งจะต้องเจรจาหาข้อยุติด้วยความรอบคอบและสันติวิธี
บทสรุป
กรณีการติดตั้งลวดหนามและการกำหนดเขตแดนฝ่ายเดียวของไทยที่ชายแดนกัมพูชา-ไทย เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า ข้อพิพาทชายแดนต้องอาศัยความรอบคอบและกลไกระหว่างประเทศ การละเมิดข้อตกลงหลายฉบับและการใช้กำลังฝ่ายเดียว ส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ
1. คงสถานะเดิมของชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน
2. เจรจาแก้ไขปัญหาผ่าน GBC และ JBC ตามกฎหมายระหว่างประเทศ
3. สื่อสารอย่างชัดเจนและโปร่งใส เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดและความตึงเครียด
หากดำเนินการอย่างรอบคอบ จะช่วยรักษาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และสร้างสันติภาพชายแดนในระยะยาว บทเรียนครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึง ความสำคัญของการเจรจา การเคารพข้อตกลงระหว่างประเทศ และความรอบคอบในการบริหารพื้นที่ชายแดน
















