ทำเลล้นตลาดที่ต้องจับตามอง
มีทำเลที่น่าห่วงใยเป็นพิเศษเพราะมีหน่วยขายเหลือมากเป็นพิเศษ ทำเลเหล่านี้ไม่พึงไปเปิดโครงการใหม่ๆ เพราะอาจทำให้ประสบความล้มเหลวในการพัฒนาโครงการได้
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ซึ่งได้สำรวจตลาดที่อยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่องที่สุดตั้งแต่ปี 2537 และมีฐานข้อมูลการขายและการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยกล่าวว่า ในขณะนี้มีทำเลที่น่าห่วงใยบางแห่งที่ควรระวัง โดยแยกให้เป็นเป็นทำเล ประเภทและระดับราคาที่ต้องจับตามอง ดังนี้:
ลำดับที่ 1 ทำเล D6: นวมินทร์ สินค้าที่ล้นอยู่คือ ห้องชุด เสนอขายในราคาหน่วยละ เกือบ 1 ล้านบาท โดยในทำเลนี้มีอยู่ทั้งหมด 3,751 หน่วย ปรากฏว่าขายไปได้แล้ว 2,050 หน่วย จึงถือว่าเหลือขายอยู่ 1,701 หน่วย และมีมูลค่าสินค้าเหลือขายรวมกันประมาณ 1,659 ล้านบาท โดยแต่ละเดือนขายได้เพียง 0.4% ของหน่วยขายในกลุ่มสินค้านี้ทั้งหมด สาเหตุที่เหลือขายก็คือเป็นสินค้าห้องชุดที่มีที่จอดรถจำกัด ไม่เพียงพอกับการใช้สอย
ลำดับที่ 2 ทำเล A4: รังสิต คลอง 1-7 สินค้าที่ล้นอยู่คือ ทาวน์เฮาส์ เสนอขายในราคาหน่วยละ 2-3 ล้านบาท โดยในทำเลนี้มีอยู่ทั้งหมด 8,069 หน่วย ปรากฏว่าขายไปได้แล้ว 4,872 หน่วย จึงถือว่าเหลือขายอยู่ 3,197 หน่วย และมีมูลค่าสินค้าเหลือขายรวมกันประมาณ 7,834 ล้านบาท โดยแต่ละเดือนขายได้เพียง 1.0% ของหน่วยขายในกลุ่มสินค้านี้ทั้งหมด ทั้งนี้ที่ผ่านมามีการพัฒนาสินค้ากลุ่มนี้มากเป็นพิเศษ จึงเกิดภาวะล้นตลาดเป็นอันมาก
ลำดับที่ 3 ทำเล A4: รังสิต คลอง 1-7 สินค้าที่ล้นอยู่คือ ทาวน์เฮาส์ เสนอขายในราคาหน่วยละ 1-2 ล้านบาท โดยในทำเลนี้มีอยู่ทั้งหมด 6,461 หน่วย ปรากฏว่าขายไปได้แล้ว 4,088 หน่วย จึงถือว่าเหลือขายอยู่ 2,373 หน่วย และมีมูลค่าสินค้าเหลือขายรวมกันประมาณ 4,143 ล้านบาท โดยแต่ละเดือนขายได้เพียง 1.0% ของหน่วยขายในกลุ่มสินค้านี้ทั้งหมด แม้สินค้าในกลุ่มนี้จะมีราคาค่อนข้างถูก แต่โดยที่ตั้งอยู่ไกล และเข้าออกไม่สะดวกนัก จึงทำให้ขายได้ยาก ขายได้ช้าเป็นพิเศษ
ลำดับที่ 4 ทำเล A4: รังสิต คลอง 1-7 สินค้าที่ล้นอยู่คือ บ้านเดี่ยว เสนอขายในราคาหน่วยละ 5-10 ล้านบาท โดยในทำเลนี้มีอยู่ทั้งหมด 4,126 หน่วย ปรากฏว่าขายไปได้แล้ว 2,093 หน่วย จึงถือว่าเหลือขายอยู่ 2,033 หน่วย และมีมูลค่าสินค้าเหลือขายรวมกันประมาณ 14,064 ล้านบาท โดยแต่ละเดือนขายได้เพียง 1.2% ของหน่วยขายในกลุ่มสินค้านี้ทั้งหมด กลุ่มนี้ขายได้ช้าก็เพราะสินค้าราคาแพงเป็นพิเศษสำหรับทำเลชานเมืองนี้ ประชากรในพื้นที่นี้เป็นพนักงานโรงงาน ยังไม่สามารถซื้อบ้านในระดับราคานี้ได้
ลำดับที่ 5 ทำเล A6: ลำลูกกา สินค้าที่ล้นอยู่คือ ทาวน์เฮาส์ เสนอขายในราคาหน่วยละ 2-3 ล้านบาท โดยในทำเลนี้มีอยู่ทั้งหมด 6,381 หน่วย ปรากฏว่าขายไปได้แล้ว 4,370 หน่วย จึงถือว่าเหลือขายอยู่ 2,011 หน่วย และมีมูลค่าสินค้าเหลือขายรวมกันประมาณ 5,192 ล้านบาท โดยแต่ละเดือนขายได้เพียง 1.3% ของหน่วยขายในกลุ่มสินค้านี้ทั้งหมด ทำเลนี้มีมูลค่าการเหลือขายค่อนข้างสูง ทั้งนี้สินค้าประเภทนี้ ในทำเลที่ค่อนข้างไกลนี้ จึงขายได้ยากมาก
ลำดับที่ 6 ทำเล H5: ศรีนครินทร์-เทพารักษ์ สินค้าที่ล้นอยู่คือ ทาวน์เฮาส์ เสนอขายในราคาหน่วยละ 2-3 ล้านบาท โดยในทำเลนี้มีอยู่ทั้งหมด 5,804 หน่วย ปรากฏว่าขายไปได้แล้ว 3,376 หน่วย จึงถือว่าเหลือขายอยู่ 2,428 หน่วย และมีมูลค่าสินค้าเหลือขายรวมกันประมาณ 6,126 ล้านบาท โดยแต่ละเดือนขายได้เพียง 1.0% ของหน่วยขายในกลุ่มสินค้านี้ทั้งหมด สาเหตุที่ล้นตลาดในขณะนี้ก็เพราะการแห่งกันพัฒนาอย่างขนานใหญ่ ทำให้เกิดภาวะที่ดูดซับไม่ทัน
ลำดับที่ 7 ทำเล H6: ปากน้ำ สินค้าที่ล้นอยู่คือ ห้องชุด เสนอขายในราคาหน่วยละ 1-2 ล้านบาท โดยในทำเลนี้มีอยู่ทั้งหมด 6,563 หน่วย ปรากฏว่าขายไปได้แล้ว 3,117 หน่วย จึงถือว่าเหลือขายอยู่ 3,446 หน่วย และมีมูลค่าสินค้าเหลือขายรวมกันประมาณ 4,584 ล้านบาท โดยแต่ละเดือนขายได้เพียง 0.6% ของหน่วยขายในกลุ่มสินค้านี้ทั้งหมด อันที่จริงสินค้าในกลุ่มนี้น่าจะเป็นที่ต้องการมาก แต่โดยที่หลายโครงการผลิตออกมามาก จึงเกิดภาวะล้นตลาด
ลำดับที่ 8 ทำเล H8: บางนา-ตราด กม.10-30 สินค้าที่ล้นอยู่คือ บ้านเดี่ยว เสนอขายในราคาหน่วยละ 5-10 ล้านบาท โดยในทำเลนี้มีอยู่ทั้งหมด 5,908 หน่วย ปรากฏว่าขายไปได้แล้ว 3,025 หน่วย จึงถือว่าเหลือขายอยู่ 2,883 หน่วย และมีมูลค่าสินค้าเหลือขายรวมกันประมาณ 20,917 ล้านบาท โดยแต่ละเดือนขายได้เพียง 1.1% ของหน่วยขายในกลุ่มสินค้านี้ทั้งหมด กลุ่มนี้ขายได้ช้าก็เพราะสินค้าราคาแพงเป็นพิเศษสำหรับทำเลชานเมืองนี้ ประชากรในพื้นที่นี้เป็นพนักงานโรงงาน ยังไม่สามารถซื้อบ้านในระดับราคานี้ได้
ลำดับที่ 9 ทำเล H8: บางนา-ตราด กม.10-30 สินค้าที่ล้นอยู่คือ ทาวน์เฮาส์ เสนอขายในราคาหน่วยละ 2-3 ล้านบาท โดยในทำเลนี้มีอยู่ทั้งหมด 10,727 หน่วย ปรากฏว่าขายไปได้แล้ว 6,668 หน่วย จึงถือว่าเหลือขายอยู่ 4,059 หน่วย และมีมูลค่าสินค้าเหลือขายรวมกันประมาณ 10,141 ล้านบาท โดยแต่ละเดือนขายได้เพียง 1.2% ของหน่วยขายในกลุ่มสินค้านี้ทั้งหมด เช่นเดียวกับหลายทำเลที่ก่อนหน้านี้ค่อนข้างบูม แต่โดยที่เร่งผลิตกันมาก จึงเกิดภาวะล้นตลาดในที่สุด
ลำดับที่ 10 ทำเล J2: ประชาอุทิศ สินค้าที่ล้นอยู่คือ ทาวน์เฮาส์ เสนอขายในราคาหน่วยละ 2-3 ล้านบาท โดยในทำเลนี้มีอยู่ทั้งหมด 7,563 หน่วย ปรากฏว่าขายไปได้แล้ว 4,136 หน่วย จึงถือว่าเหลือขายอยู่ 3,427 หน่วย และมีมูลค่าสินค้าเหลือขายรวมกันประมาณ 8,516 ล้านบาท โดยแต่ละเดือนขายได้เพียง 1.0% ของหน่วยขายในกลุ่มสินค้านี้ทั้งหมด ก่อนหน้านี้ค่อนข้างบูม มีโครงการเปิดตัวมาก และขายดี แต่แต่โดยที่เร่งผลิตกันมาก จึงเกิดภาวะล้นตลาดในที่สุด
ลำดับที่ 11 ทำเล K2: เอกชัย-บางบอน สินค้าที่ล้นอยู่คือ ทาวน์เฮาส์ เสนอขายในราคาหน่วยละ 2-3 ล้านบาท โดยในทำเลนี้มีอยู่ทั้งหมด 4,352 หน่วย ปรากฏว่าขายไปได้แล้ว 2,068 หน่วย จึงถือว่าเหลือขายอยู่ 2,284 หน่วย และมีมูลค่าสินค้าเหลือขายรวมกันประมาณ 5,833 ล้านบาท โดยแต่ละเดือนขายได้เพียง 1.1% ของหน่วยขายในกลุ่มสินค้านี้ทั้งหมด ทาวน์เฮาส์ในพื้นที่นี้เร่งระดมผลิตออกมามากเป็นพิเศษ จึงเกินความต้องการไปเป็นอย่างมาก
ลำดับที่ 12 ทำเล K3: มหาชัย-เศรษฐกิจ สินค้าที่ล้นอยู่คือ ทาวน์เฮาส์ เสนอขายในราคาหน่วยละ 2-3 ล้านบาท โดยในทำเลนี้มีอยู่ทั้งหมด 4,294 หน่วย ปรากฏว่าขายไปได้แล้ว 2,014 หน่วย จึงถือว่าเหลือขายอยู่ 2,280 หน่วย และมีมูลค่าสินค้าเหลือขายรวมกันประมาณ 5,709 ล้านบาท โดยแต่ละเดือนขายได้เพียง 0.9% ของหน่วยขายในกลุ่มสินค้านี้ทั้งหมด ในทำเลที่ไกลออกไปเช่นนี้หากสามารถผลิตทาวน์เฮาส์ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทได้ จะได้รับการต้อนรับมากกว่า
ลำดับที่ 13 ทำเล N4: บางบัวทอง สินค้าที่ล้นอยู่คือ บ้านเดี่ยว เสนอขายในราคาหน่วยละ 5-10 ล้านบาท โดยในทำเลนี้มีอยู่ทั้งหมด 2,804 หน่วย ปรากฏว่าขายไปได้แล้ว 1,030 หน่วย จึงถือว่าเหลือขายอยู่ 1,774 หน่วย และมีมูลค่าสินค้าเหลือขายรวมกันประมาณ 12,403 ล้านบาท โดยแต่ละเดือนขายได้เพียง 1.0% ของหน่วยขายในกลุ่มสินค้านี้ทั้งหมด จะเห็นได้ว่าในทำเลที่ "ไกลปืนเที่ยง" เช่นนี้ แต่ผลิตบ้านเดี่ยวราคาปานกลางค่อนข้างสูง (5-10 ล้านบาท) จึงจับกลุ่มกลูกค้าคลาดเคลื่อน
ลำดับที่ 14 ทำเล N4: บางบัวทอง สินค้าที่ล้นอยู่คือ ทาวน์เฮาส์ เสนอขายในราคาหน่วยละ 2-3 ล้านบาท โดยในทำเลนี้มีอยู่ทั้งหมด 8,792 หน่วย ปรากฏว่าขายไปได้แล้ว 6,279 หน่วย จึงถือว่าเหลือขายอยู่ 2,513 หน่วย และมีมูลค่าสินค้าเหลือขายรวมกันประมาณ 6,336 ล้านบาท โดยแต่ละเดือนขายได้เพียง 1.1% ของหน่วยขายในกลุ่มสินค้านี้ทั้งหมด แม้สินค้านี้จะไม่ได้มีราคาแพงนัก แต่โดยที่ตั้งอยู่ห่างไกลเขตเมือง จึงทำใหขายได้ยาก
ลำดับที่ 15 ทำเล N7: ลาดหลุมแก้ว สินค้าที่ล้นอยู่คือ บ้านเดี่ยว เสนอขายในราคาหน่วยละ 5-10 ล้านบาท โดยในทำเลนี้มีอยู่ทั้งหมด 3,924 หน่วย ปรากฏว่าขายไปได้แล้ว 1,219 หน่วย จึงถือว่าเหลือขายอยู่ 2,705 หน่วย และมีมูลค่าสินค้าเหลือขายรวมกันประมาณ 18,545 ล้านบาท โดยแต่ละเดือนขายได้เพียง 0.9% ของหน่วยขายในกลุ่มสินค้านี้ทั้งหมด จะเห็นได้ว่าในทำเลที่ "ไกลปืนเที่ยง" เช่นลาดหลุมแก้วนี้ แต่ผลิตบ้านเดี่ยวราคาปานกลางค่อนข้างสูง (5-10 ล้านบาท) จึงจับกลุ่มกลูกค้าคลาดเคลื่อน
ในทำเลเหล่านี้ นักพัฒนาที่ดินจึงไม่ควรเพิ่มอุปทานลงไปอีก เพราะจะยิ่งล้นตลาด ขายได้ช้า เว้นแต่ว่าโครงการใหม่นั้นมีการออกแบบที่ดีกว่า ราคาถูกกว่า ผู้ซื้อรู้สึกคุ้มค่ามากกว่า






















