เลาะชายฝั่งตะวันออก…ชีวิตแรงงานกัมพูชา ในวันที่แนวหน้าสู้รบยังไม่จบ
เมื่อครู่นี้ ดิฉันได้อ่านบทความเล่าถึงชีวิตของแรงงานกัมพูชาที่ทำงานอยู่ตามชายฝั่งทะเลตะวันออก บ้านเรา โดยเฉพาะในพื้นที่สัตหีบและชลบุรี ขอบอกตรง ๆ ว่า อ่านแล้วทั้งสะเทือนใจและอดห่วงไม่ได้
หญิงคนหนึ่งชื่อ “แวน” วัยเกือบ 40 ปี ทำงานเย็บอวนมานานกว่า 10 ปี วันละ 9 ชั่วโมง ได้ค่าจ้างราว 300 บาท เธอยิ้มและบอกว่า “ยังอยู่ได้อย่างมีความสุข” เพราะอย่างน้อยมีรายได้แน่นอนมากกว่าที่บ้านเกิด ทั้ง ๆ ที่ในกัมพูชาเองก็มีครอบครัวคอยอยู่ เธอกับเพื่อนแรงงานอีกหลายคนเลือกจะอยู่ต่อ แม้สถานการณ์ชายแดนจะตึงเครียด มีเสียงปืนใหญ่เป็นระยะ ๆ
ดิฉันได้อ่านเรื่องของ “พร” อีกคน ที่พูดไทยไม่ได้เลย ข่าวสารที่ได้รับมาจากบ้านเกิดเต็มไปด้วยความกลัว ถูกบอกว่าจะถูกจับตัว จะถูกทำร้าย แต่เมื่อได้พูดคุยกับนายจ้างในเมืองไทย จึงเริ่มวางใจและเลือกทำงานต่อเพื่อส่งเงินกลับบ้าน เดือนละไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท เธอบอกว่า ถ้ากลับไปก็ไม่แน่ว่าจะได้งานจริงอย่างที่รัฐบาลโฆษณา
ในอีกด้าน นายจ้างไทยเองก็ได้รับผลกระทบมาก บางคนมีเรือประมงหลายลำ ต้องจอดทิ้งไว้เพราะแรงงานกลับบ้าน เหลือไม่ถึงครึ่ง บางคนถึงขั้นลงมือออกเรือเองก็มี รายได้ลดฮวบจากหลักแสนเหลือเพียงไม่กี่แสน ต้องอยู่กันไปแบบประคับประคอง ทุกฝ่ายเดือดร้อนหมดค่ะ
สิ่งที่น่าคิดคือ แรงงานเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียง “แรงงานราคาถูก” แต่เป็นเสมือนเส้นเลือดหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน หากขาดหายไป ธุรกิจทั้งระบบก็สั่นคลอน
ดิฉันเห็นใจทั้งฝ่ายแรงงานที่อยู่ท่ามกลางความกลัว และฝ่ายนายจ้างที่ต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติเป็นหลัก ข้อเท็จจริงก็คือ ไทยกับกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้าน ติดกันไปไหนไม่พ้น ต่างก็เคยกินอยู่ร่วมกัน ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาแทบทั้งชีวิต
ในบทสัมภาษณ์มีประโยคที่ดิฉันประทับใจมากคือ “คนโตทะเลาะกัน เด็ก ๆ อย่างเราก็ลำบาก” …ฟังแล้วเจ็บลึกเลยค่ะ เพราะสะท้อนความจริงว่า เวลาผู้นำขัดแย้งกัน คนตัวเล็ก ๆ ในสังคมต้องรับเคราะห์เสมอ
ดิฉันเชื่อว่าทุกคนคงอยากเห็นสันติภาพ ไม่ใช่แค่เพื่อหยุดเสียงปืน แต่เพื่อให้แรงงานผู้หญิง ผู้ชายเหล่านี้ กลับมาทำงานหาเลี้ยงครอบครัวโดยไม่ต้องหวาดกลัว และเพื่อให้เศรษฐกิจทั้งสองประเทศไม่หยุดชะงักไปมากกว่านี้
“ปรองดองและหาประโยชน์ร่วมกัน” คือคำตอบเดียวค่ะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด










