กระแสการบอยคอตต์สินค้าไทยในกัมพูชา: การแสดงออกเชิงชาตินิยมท่ามกลางความขัดแย้ง
สื่อกัมพูชาหลายสำนักรายงานตรงกันว่ากระแสความไม่พอใจต่อสถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนกับไทย ได้ลุกลามกลายเป็นการรณรงค์บอยคอตต์สินค้าและบริการจากไทยในวงกว้าง โดยการเคลื่อนไหวครั้งนี้ถูกขับเคลื่อนทั้งจากภาคประชาชน นักวิชาการ พระสงฆ์ และผู้นำชุมชนที่ต่างออกมาแสดงจุดยืนร่วมกันว่าการปฏิเสธสินค้าจากประเทศที่ถูกมองว่า “รุกราน” คือการประท้วงเชิงสัญลักษณ์และเป็นการประกาศความเป็นชาตินิยมที่ทรงพลัง
Pok Sethy คณบดีคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกัมพูชา ระบุว่า การบอยคอตต์สินค้าไทยไม่ใช่เพียงการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ แต่ถือเป็นหน้าที่ทั้งในเชิงมโนสำนึกและหน้าที่ต่อประชาชาติ เขาเชื่อว่าพฤติกรรมการเลือกบริโภคนี้สามารถเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนต่อทุกฝ่าย แม้จะยอมรับว่าความขัดแย้งทางการเมืองและชายแดนนั้นท้ายที่สุดแล้วย่อมต้องหาทางออกเพื่ออยู่ร่วมกัน แต่ในช่วงเวลาปัจจุบัน เขามองว่าการปฏิเสธสินค้าจากไทยคือหนทางหนึ่งในการยกระดับเศรษฐกิจของกัมพูชา และยังช่วยสร้างแรงสนับสนุนต่อผู้ผลิตท้องถิ่น
เสียงสะท้อนจากฝ่ายศาสนาก็มีทิศทางเดียวกัน พระ Noeun Chhenlong เจ้าอาวาสวัด Sararam Pagoda จังหวัดพระวิหาร กล่าวว่าการซื้อสินค้าไทยในช่วงเวลานี้ไม่ต่างจากการสนับสนุนศัตรู “การซื้อสินค้าของศัตรู คือการมอบเครื่องมือในการโจมตีเรา” พระสงฆ์รูปนี้กล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ในประเทศและเผยแพร่แนวคิดนี้ผ่านสื่อสังคมออนไลน์เพื่อสร้างพลังทางสังคมที่กว้างขวางยิ่งขึ้น
กระแสการคว่ำบาตรปรากฏให้เห็นเด่นชัดในพื้นที่ชายแดนที่สินค้านำเข้าจากไทยเคยครองตลาดมาอย่างยาวนาน ชาวบ้านบางส่วน เช่น Tim Pichkessey วัย 39 ปี จากจังหวัดเกาะกง เผยว่าเธอเลิกใช้สินค้าไทยแล้วและหันมาสนับสนุนผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นแทน เธอย้ำว่าความใกล้ชิดกับชายแดนทำให้ประชาชนในพื้นที่รับรู้ถึงภัยคุกคามอยู่เสมอ และนั่นทำให้การบอยคอตต์กลายเป็นการแสดงออกที่มีน้ำหนักมากขึ้น แม้แต่ลูกหลานก็ได้รับการสอนให้ตรวจสอบบาร์โค้ดเพื่อหลีกเลี่ยงสินค้าจากไทย
อย่างไรก็ดี มีนักวิชาการบางส่วนออกมาเตือนถึงความเสี่ยงของการผลักดันแนวคิดชาตินิยมที่อาจตีบแคบเกินไป Chet Chealy อธิการบดีมหาวิทยาลัยพนมเปญ ชี้ว่าชาวกัมพูชาจำเป็นต้องระมัดระวังไม่ให้การเคลื่อนไหวนี้พัฒนาไปสู่ “narrow nationalism” หรือชาตินิยมแบบคับแคบ ซึ่งอาจก่อผลเสียต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสวนทางกับภาพลักษณ์ของกัมพูชาในฐานะประเทศที่รักสันติและเคารพนานาประเทศ เขาเสนอว่าการดำเนินการใด ๆ ควรคำนึงถึงความเป็นจริงในโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่เศรษฐกิจและสังคมเชื่อมโยงกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในภาพรวม กระแสการบอยคอตต์สินค้าไทยในกัมพูชาเวลานี้จึงมิใช่เพียงประเด็นการค้า แต่เป็นการผสมผสานระหว่างเศรษฐกิจ การเมือง ศาสนา และชาตินิยมที่สะท้อนถึงความรู้สึกร่วมของสังคมต่อสถานการณ์ชายแดน ขณะที่หลายฝ่ายมองว่านี่คือพลังของการแสดงออกเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีชาติ อีกหลายฝ่ายก็เตือนถึงความจำเป็นในการรักษาสมดุล เพื่อไม่ให้กระแสชาตินิยมกลายเป็นชนวนความขัดแย้งที่ยืดเยื้อและกระทบต่อเสถียรภาพในระยะยาว
ที่มา แคมโบเดียเนสต์















