ดร.ปลอดประสพ ชี้ทาง! จ่ายชดเชยไล่ชาวเขมรออกจากบ้านหนองจาน
แนวทางแก้ปัญหาบ้านหนองจาน: ดร.ปลอดประสพ เสนอค่าชดเชยเพื่อคืนแผ่นดินไทย
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาโดยเฉพาะ บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ยังคงเป็นประเด็นที่ประชาชนและผู้เกี่ยวข้องต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด หลังเกิดเหตุปะทะระหว่างชาวเขมรกับทหารไทย ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาการครอบครองที่ดินชายแดน และการบริหารจัดการพื้นที่อย่างซับซ้อน
ล่าสุด ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี ได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยแนะนำว่ารัฐบาลควร แสดงความเมตตาและจ่ายค่าชดเชยให้กับชาวเขมรที่ได้รับผลกระทบ จากเหตุการณ์ปะทะกับทหารไทย
การเสนอแนวทางของ ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี
ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า เขายินดีร่วม ออกค่าใช้จ่ายส่วนตัว 100,000 บาท สำหรับค่าชดเชยให้กับชาวเขมรที่ได้รับผลกระทบ
“คิดเสียว่าเป็นค่าชดเชย ค่าเสียโอกาส และค่าโง่ อย่าขี้เหนียว อย่ากลัวเสียหน้า เอาแผ่นดินคืนมาก่อน”
เขายังย้ำว่า การจ่ายค่าชดเชยไม่ใช่เรื่องเสียหน้า แต่เป็นการแก้ไขปัญหาเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชนไทย
ประวัติศาสตร์ค่ายอพยพหนองจาน
พื้นที่บ้านหนองจานเคยเป็น ค่ายอพยพชาวเขมร ที่เรียกว่า ค่าย 511 ตั้งอยู่ในอำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว โดยค่ายนี้เป็นค่ายอพยพชาวเขมรแห่งแรกในไทย มีผู้อพยพหลายพันคนเข้ามาพักอาศัยหลังวิกฤติในกัมพูชา
ต่อมาชาวเขมรบางส่วนถูกกองทัพเวียดนามโจมตีในปี 2527 จึงต้องย้ายไปยัง ค่ายเขาอีต่าง ในอำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว ห่างจากหนองจานประมาณ 20 กิโลเมตร ค่ายนี้ถือว่าเป็นค่ายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในช่วงนั้น มีขนาดกว่า 2.3 ตารางกิโลเมตร และมีผู้อพยพเขมรเข้ามาอยู่กว่า 16,000 คน
การจัดการค่ายอยู่ภายใต้ความดูแลของ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) และ กระทรวงมหาดไทย โดยทหารไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง
หลังจากสถานการณ์สงบ ผู้อพยพบางส่วนได้ย้ายไปอาศัยในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และยุโรป แต่บางส่วนยังคงอยู่ในพื้นที่ไทย ทำให้เกิดปัญหาการครอบครองที่ดินและความขัดแย้ง
ความสำคัญยุทธศาสตร์ของบ้านหนองจาน
พื้นที่บ้านหนองจานและรอบ ๆ เป็นที่ราบระหว่าง เทือกเขาพนมดงรัก และ เทือกเขาบรรทัด ซึ่งถือว่ามีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ หากเกิดสงครามกับเวียดนามหรือกัมพูชา ช่องทางนี้จะเป็นเส้นทางเดินทัพสำคัญ
เพื่อป้องกันและรักษาพื้นที่ ทหารไทยได้จัดตั้ง กองพลที่ 2 ที่จังหวัดปราจีนบุรี และ ศูนย์การทหารม้าและกรมทหารม้าที่ 4 ไว้ที่จังหวัดสระบุรี
ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี ระบุว่า พื้นที่ช่องเขาช่วงหลักที่ 47-50 มีความสำคัญต่อการป้องกันกรุงเทพฯ และไทยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาไว้ ซึ่งเขมรเองก็ทราบถึงความสำคัญนี้ จึงพยายามเข้ามายึดครองพื้นที่
แนวทางแก้ไขปัญหา: ใช้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเจรจา
ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี เสนอว่า ไทยไม่ควรใช้กลยุทธ์ทางทหาร ในการเผชิญหน้ากับชาวเขมร แต่ควรใช้แนวทางสันติวิธีและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น
เจ้าหน้าที่บ้านเมือง เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. และ อปพร. ควรเป็นผู้เจรจาและยุติข้อพิพาท เพราะพวกเขารู้จักชาวบ้านและสามารถสื่อสารภาษากัมพูชาได้
หากเกิดความรุนแรง สามารถส่งตำรวจเข้าดำเนินคดีตามกฎหมาย
วิธีนี้จะช่วยป้องกันการสูญเสียและความเสียหายต่อทั้งทหารไทยและประชาชนมือเปล่า
การชดเชยและการคืนสิทธิ์
สำหรับพื้นที่ที่ชาวเขมรครอบครองมานานถึง 40 ปี พล.ต.ต.ปลอดประสพเสนอให้ จ่ายค่าชดเชย ให้กับกลุ่มครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจำนวน 20-30 ครอบครัว พื้นที่ไม่เกิน 100 ไร่
“เราคิดเสียว่าเป็นค่าชดเชย ค่าเสียโอกาส และค่าโง่ ผมยินดีสมทบ 100,000 บาทครับ เราอย่าขี้เหนียว อย่ากลัวเสียหน้า”
แนวทางนี้ถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างมีเหตุผล และสะท้อนแนวทางการบริหารจัดการชายแดนด้วยความเมตตา
กรณีบ้านหนองจานสะท้อนถึงความซับซ้อนของพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ประเด็นสำคัญมีดังนี้
1. ปัญหาการครอบครองที่ดินระยะยาว – ชาวเขมรบางส่วนอาศัยอยู่ในพื้นที่ไทยมานานถึง 40 ปี ทำให้เกิดความขัดแย้งเรื่องกรรมสิทธิ์
2. ความสำคัญทางยุทธศาสตร์ – พื้นที่หนองจานเป็นช่องทางสำคัญในกรณีเกิดสงคราม ทำให้การรักษาความมั่นคงชายแดนเป็นเรื่องสำคัญ
3. ความเป็นธรรมและการเจรจา – การใช้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเจรจาและจ่ายค่าชดเชย เป็นแนวทางที่ลดความรุนแรงและรักษาสิทธิ์ของประชาชนไทย
4. การป้องกันความขัดแย้งในอนาคต – การออกโฉนดและการยืนยันกรรมสิทธิ์ของชาวไทย เป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันการบุกรุกซ้ำ
สรุป
กรณีบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว เป็นตัวอย่างของปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่สะท้อนความซับซ้อนด้านประวัติศาสตร์ การเมือง และความมั่นคง
แนวทางของ ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี ชี้ให้เห็นว่าการ คืนแผ่นดินไทยและจ่ายค่าชดเชยอย่างเหมาะสม เป็นวิธีแก้ไขที่สมเหตุสมผล โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงและลดความสูญเสียต่อประชาชนและทหาร
การดำเนินการเช่นนี้ไม่เพียงรักษาความเป็นธรรม แต่ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างชายแดน และเป็นแบบอย่างในการจัดการข้อพิพาทที่ดินชายแดนไทย-กัมพูชาในอนาคต






