สมปองเปิดใจ! ยืมเงินกว่า 10 ล้าน ใช้คืนแล้วครึ่งหนึ่ง คาดปีหน้าเคลียร์หมด
อดีตพระนักเทศน์ “สมปอง นครไธสง” เปิดใจชีวิตสู้ หลังเคยมีหนี้สินกว่า 10 ล้านบาท
ในช่วงเวลาที่กระแสข่าวเกี่ยวกับการเรียกร้องเงินบริจาควัดพระบาทน้ำพุกำลังเป็นที่สนใจอย่างมากในวงการบันเทิงและสังคมไทย ล่าสุด อดีตพระนักเทศน์ชื่อดัง สมปอง นครไธสง ได้สร้างความฮือฮาอีกครั้ง หลังโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เผยถึงชีวิตและประสบการณ์การต่อสู้กับหนี้สินที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
โดยโพสต์ของอดีตพระนักเทศน์สมปองมีข้อความเด็ดที่สร้างแรงบันดาลใจว่า
“ชีวิตต้องสู้ เพราะพี่กู้มาเยอะ”
ข้อความสั้น ๆ แต่แฝงด้วยความหมายลึกซึ้งเกี่ยวกับความอดทน ความพยายาม และการต่อสู้กับปัญหาในชีวิตประจำวัน แม้ก่อนหน้านี้เขาเคยมีหนี้สินรวมกว่า 10 ล้านบาท แต่ปัจจุบันสามารถชำระคืนไปแล้วกว่า ครึ่งหนึ่ง ถือเป็นตัวอย่างของความรับผิดชอบและการพยายามกลับตัวกลับใจในชีวิต
ยอมรับเรื่องหนี้สินและการกู้เงินจากอดีตเจ้าอาวาส
โพสต์ของสมปองเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสข่าวที่กำลังโด่งดังในสังคมออนไลน์เกี่ยวกับบุคคลในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็น อินฟลูเอ็นเซอร์ หรือ นักร้องชื่อดัง ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าเคยขอเงินจาก อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ “อลงกต”
เมื่อคืนวันพุธที่ 27 สิงหาคม 2568 หมอแล็บแพนด้า นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ติดตามเหตุการณ์ดังกล่าว ได้แชร์โพสต์ของอดีตพระสมปองผ่านช่องทางโซเชียล พร้อมข้อความว่า “ยืมนะครับ ยืม คืนไปแล้วเกือบครึ่ง”
ข้อความนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจริงใจในการยอมรับว่าเขาเคยมีการกู้เงิน และกำลังอยู่ระหว่างการชำระหนี้คืนตามสัญญา ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สังคมให้ความสนใจ เพราะในยุคปัจจุบัน การยอมรับเรื่องการเงินส่วนตัวอย่างตรงไปตรงมาในสื่อสาธารณะไม่ใช่เรื่องง่าย
กระแสสังคมและความสนใจต่ออดีตพระนักเทศน์
การที่อดีตพระสมปองออกมาเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัว ทำให้หลายฝ่ายเกิดความสนใจและติดตามในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การกู้ยืมเงิน การบริหารหนี้สิน หรือแม้กระทั่ง มุมมองด้านการใช้ชีวิตหลังออกจากการเป็นพระ
ก่อนหน้านี้อดีตพระสมปองเป็นที่รู้จักในฐานะนักเทศน์ที่มีอิทธิพลและได้รับความเคารพจากประชาชนจำนวนมาก แต่หลังจากมีข่าวการเรียกร้องเงินบริจาคจากอดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ความสนใจของสังคมก็เริ่มโยงมาที่บุคคลในแวดวงบันเทิง รวมถึงอดีตพระนักเทศน์ชื่อดัง
โพสต์ของสมปองจึงไม่เพียงแต่เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ยังสะท้อนถึง การเผชิญกับความจริงทางการเงินและการรับผิดชอบต่อสังคม
การบริหารชีวิตหลังมีหนี้สิน
อดีตพระสมปองเล่าเรื่องราวผ่านโพสต์ของเขาว่า การมีหนี้สินจำนวนมากนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องเผชิญกับทั้งความเครียดและความกดดันจากครอบครัวและสังคม แต่เขาก็เลือกที่จะ สู้และเดินหน้าต่อไป
การสู้กับหนี้สินของสมปองไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความรับผิดชอบส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นการเรียนรู้ชีวิตในมิติของ การวางแผนทางการเงิน การจัดลำดับความสำคัญ และการสร้างวินัยทางการเงิน
เขายังย้ำว่า การยอมรับความจริงและความซื่อสัตย์ต่อสังคม เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลนี้ต่อสาธารณะถือเป็นการแสดงความโปร่งใสในระดับหนึ่ง
การต่อสู้กับกระแสสังคมและความเข้าใจผิด
แม้ว่าอดีตพระสมปองจะเคยมีชื่อเสียงในแวดวงพระนักเทศน์ แต่ในช่วงหลัง กระแสสังคมกลับโยงเขาไปกับเรื่องการเรียกร้องเงินของบุคคลในวงการบันเทิงจากอดีตเจ้าอาวาส การเปิดเผยเรื่องหนี้สินจึงถือเป็น การแสดงออกถึงความจริงใจและความโปร่งใส
สมปองกล่าวว่าเขา ไม่เคยมีเจตนาทำให้สังคมเข้าใจผิด และการยืมเงินจากอดีตเจ้าอาวาสเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แต่เขาได้ชำระคืนไปแล้วเกือบครึ่ง และตั้งใจที่จะชำระหนี้ที่เหลือให้เรียบร้อย
แง่มุมชีวิตและแรงบันดาลใจ
โพสต์ของอดีตพระนักเทศน์สมปองไม่เพียงแต่พูดถึงการชำระหนี้ แต่ยังสะท้อน แง่มุมชีวิตและแรงบันดาลใจ ให้กับผู้คนที่กำลังเผชิญกับปัญหาทางการเงินหรืออุปสรรคอื่น ๆ
หลายคนให้ความเห็นว่า วลีสั้น ๆ ของสมปอง สามารถเป็นแรงผลักดันให้ผู้คนไม่ย่อท้อ และตระหนักว่าความพยายาม ความซื่อสัตย์ และความอดทน จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาและความสำเร็จในอนาคต
การยืมเงินในสังคมไทย: บทเรียนและข้อคิด
กรณีของอดีตพระสมปองยังสะท้อนให้เห็น วัฒนธรรมการยืมเงินและความรับผิดชอบทางสังคม ในบริบทไทย ทั้งเรื่องการกู้ยืมจากบุคคลที่น่าเชื่อถือ การชำระคืนเงิน และการบริหารการเงินส่วนบุคคล
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและนักจิตวิทยาสังคม มองว่า การเปิดเผยเรื่องราวเช่นนี้ต่อสาธารณะ เป็นสิ่งที่ดี เพราะช่วยให้ผู้คน เรียนรู้บทเรียนชีวิตจริงจากคนที่เคยเผชิญปัญหาและสามารถฟื้นตัวได้
สรุป: ชีวิตต้องสู้ และความซื่อสัตย์คือหัวใจสำคัญ
โพสต์ของ อดีตพระนักเทศน์ สมปอง นครไธสง ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าการเผชิญกับปัญหาและความท้าทายในชีวิตไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ถ้าเรามีความซื่อสัตย์ต่อสังคม มีวินัยทางการเงิน และตั้งใจแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
วลีเด็ดของสมปอง “ชีวิตต้องสู้ เพราะพี่กู้มาเยอะ” จึงไม่ได้เป็นเพียงคำพูดธรรมดา แต่เป็น บทเรียนชีวิตที่สะท้อนความอดทน ความพยายาม และความรับผิดชอบ ที่ผู้คนสามารถนำไปใช้เป็นแรงบันดาลใจได้
ในช่วงเวลาที่สังคมไทยกำลังจับตามองการใช้เงินบริจาคของวัดพระบาทน้ำพุ การเปิดเผยเรื่องราวของอดีตพระนักเทศน์เช่นนี้ เป็นเครื่องเตือนใจว่าการใช้เงินอย่างมีความรับผิดชอบ โปร่งใส และซื่อสัตย์ คือหัวใจสำคัญของความน่าเชื่อถือและความยั่งยืนในสังคม












