ช็อก! อลงกต ถูกสึกกลางโรงพัก ส่อโดนโทษหนักตามกฎหมาย
สะเทือนวงการสงฆ์ “หลวงพ่ออลงกต” หรือ พระราชวิสุทธิประชานาถ อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ สึกต่อหน้าตำรวจสอบสวนกลาง หลังเจอข้อหาหนัก ยักยอกเงินบริจาค–ฟอกเงิน
วันที่ 26 สิงหาคม 2568 กลายเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญที่สร้างแรงสั่นสะเทือนทั้งในวงการศาสนาและสังคมไทย เมื่อ พระราชวิสุทธิประชานาถ หรือหลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี ตัดสินใจลาสิกขา สละผ้าเหลืองต่อหน้าตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) หลังถูกจับกุมตามหมายจับในคดีทุจริตเงินบริจาคและฟอกเงินจำนวนมหาศาล
เหตุการณ์การจับกุมยามวิกาล
แหล่งข่าวจาก ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า การจับกุมเกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณตี 2 ของวันที่ 26 สิงหาคม โดยเจ้าหน้าที่ได้เข้าควบคุมตัวหลวงพ่ออลงกตที่วัดพระบาทน้ำพุ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสมาอย่างยาวนาน
การเข้าตรวจค้นและจับกุมครั้งนี้ เป็นผลจากการสืบสวนที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการออกหมายจับในข้อหาหนักหลายกระทง ทั้ง ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
การตัดสินใจสึกต่อหน้าตำรวจ
หลังถูกควบคุมตัวและนำตัวมาสอบสวนเบื้องต้น หลวงพ่ออลงกตได้แสดงท่าทีไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในบางประเด็น แต่ต่อมาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ท่านได้ตัดสินใจ ขอลาสิกขา จากเพศบรรพชิตเพื่อกลับเข้าสู่สถานะฆราวาส
การสึกในครั้งนี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย แต่ถือว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญ เพราะเป็นการ ยุติชีวิตสมณเพศของพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงและเคยได้รับการยกย่องอย่างสูงในสังคม
ข้อกล่าวหาหนักหลายกระทง
สำหรับคดีที่อดีตพระอลงกตเผชิญอยู่ มีการแจ้งข้อหาหลักดังนี้
1. ยักยอกทรัพย์ – ในฐานะเจ้าอาวาสและผู้มีหน้าที่จัดการทรัพย์สินของวัด พระอลงกตถูกกล่าวหาว่าได้เบียดบังทรัพย์สินเงินบริจาคมาเป็นของตนเองหรือให้ผู้อื่นไปโดยมิชอบ
2. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ – ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ไม่สุจริต จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นและวัด
3. ฟอกเงิน – มีการโอน ย้าย หรือเปลี่ยนสภาพเงินบริจาคเพื่อปกปิดที่มาของทรัพย์สินที่ผิดกฎหมาย
4. สมคบกันกระทำความผิดฐานฟอกเงิน – มีการวางแผนและร่วมมือกับผู้อื่นตั้งแต่สองคนขึ้นไปในการดำเนินการ
ข้อกล่าวหาเหล่านี้ล้วนเป็นความผิดร้ายแรงที่มีโทษตามกฎหมายอาญาและพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
คำชี้แจงจากตำรวจสอบสวนกลาง
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แม้หลวงพ่ออลงกตจะยังไม่ให้ความร่วมมือในหลายประเด็นการสอบสวน แต่การที่ท่านตัดสินใจลาสิกขา ถือว่าเป็นการเปิดทางให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการต่อไปได้โดยไม่ติดข้อจำกัดด้านสถานะทางศาสนา
พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวว่า
“การสึกในครั้งนี้ทำให้ทุกอย่างต้องเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายเหมือนบุคคลทั่วไป การสอบสวนจะดำเนินไปตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ปรากฏ”
วัดพระบาทน้ำพุ กับภาพลักษณ์ที่ถูกกระทบ
วัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี เป็นที่รู้จักในฐานะสถานที่ดูแลผู้ป่วย HIV/AIDS มานานหลายสิบปี โดยมีการรับบริจาคจากทั้งประชาชนทั่วไป ภาครัฐ และองค์กรเอกชนจำนวนมากเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินงานและช่วยเหลือผู้ป่วย
การที่อดีตเจ้าอาวาสถูกกล่าวหาว่าทุจริตเงินบริจาค จึงกลายเป็น ประเด็นใหญ่ที่กระทบต่อความน่าเชื่อถือของวัด และสร้างความผิดหวังแก่ศรัทธาของผู้ที่เคยให้การสนับสนุน
ปฏิกิริยาของประชาชนและสังคม
ทันทีที่ข่าวการจับกุมและการสึกของหลวงพ่ออลงกตเผยแพร่ออกไปในโลกออนไลน์ ได้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวาง บางส่วนยังคงเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของท่าน และมองว่าอาจถูกใส่ร้ายหรือกลั่นแกล้งทางการเมือง ขณะที่อีกฝ่ายกลับมองว่านี่คือโอกาสที่สังคมจะได้ตรวจสอบการใช้เงินบริจาคอย่างจริงจัง
เสียงสะท้อนจำนวนไม่น้อยตั้งคำถามถึง ระบบตรวจสอบการเงินของวัดในประเทศไทย ว่ามีความโปร่งใสมากน้อยเพียงใด และควรมีการปฏิรูปเพื่อป้องกันการทุจริตหรือไม่
มิติทางกฎหมายและผลกระทบที่ตามมา
คดีนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่ออดีตพระอลงกตในฐานะบุคคล แต่ยังมีผลสะเทือนต่อหลายด้าน ได้แก่
1. มิติทางศาสนา – สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อภาพลักษณ์ของพระสงฆ์และศาสนาพุทธในประเทศไทย
2. มิติทางสังคม – กระทบต่อความศรัทธาของประชาชนที่เคยร่วมทำบุญและสนับสนุนกิจกรรมของวัด
3. มิติทางกฎหมาย – อาจนำไปสู่การตรวจสอบเชิงลึกในวัดอื่น ๆ ที่มีการรับบริจาคจำนวนมาก
4. มิติทางเศรษฐกิจและการกุศล – ผู้บริจาคอาจลังเลที่จะทำบุญหรือสนับสนุนโครงการการกุศล หากกังวลว่าเงินจะถูกนำไปใช้ไม่ตรงวัตถุประสงค์
อนาคตของวัดพระบาทน้ำพุ
คำถามสำคัญหลังจากนี้คือ วัดพระบาทน้ำพุจะดำเนินงานต่อไปอย่างไร ใครจะเข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาสแทน และการบริหารจัดการเงินบริจาคจะโปร่งใสและเป็นระบบมากขึ้นเพียงใด
หลายฝ่ายเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐเข้ามาช่วยดูแล เพื่อให้วัดยังคงทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วย HIV/AIDS ต่อไปโดยไม่สะดุด และเพื่อฟื้นฟูศรัทธาของประชาชน
บทสรุป
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ พระราชวิสุทธิประชานาถ (หลวงพ่ออลงกต) ถือเป็นกรณีศึกษาสำคัญที่สะท้อนถึงปัญหาความโปร่งใสในการบริหารจัดการทรัพย์สินและเงินบริจาคของวัดในประเทศไทย การที่ท่านตัดสินใจลาสิกขาแม้จะเป็นการยอมรับผลของการกระทำ แต่ก็ยังต้องต่อสู้ในชั้นศาลเพื่อพิสูจน์ความจริง
สังคมไทยกำลังจับตาอย่างใกล้ชิดว่า คดีนี้จะคลี่คลายไปในทิศทางใด และจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหรือการปฏิรูปการบริหารจัดการวัดในภาพรวมได้จริงหรือไม่






















