สุดทน! คุณตาชาวจีนถูกทางด่วนล้อมบ้านรอบด้าน สุดท้ายจำใจยกครัวย้ายออก

เรื่องราว "บ้านตะปู" ในจีน ปิดตำนานหลังคุณตาหวงยอมแพ้เสียงจราจร ต้องย้ายออก แม้เคยปฏิเสธเงินชดเชย 7.5 ล้านบาท

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา โลกออนไลน์ต่างให้ความสนใจกับกรณีของ “บ้านตะปู” (Nail House) แห่งหนึ่งในประเทศจีน ที่ตั้งอยู่กลางทางด่วนสายใหม่ในมณฑลเจียงซู หลังเจ้าของบ้านซึ่งเป็นคุณตาชาวจีนสูงวัยปฏิเสธข้อเสนอเงินชดเชยก้อนใหญ่จากรัฐบาลท้องถิ่น ทำให้บ้านหลังนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยถนนทางด่วนทุกทิศทาง จนกลายเป็นภาพไวรัลที่สะท้อนถึงการต่อสู้ระหว่างประชาชนกับโครงการพัฒนาเมืองของภาครัฐ

ล่าสุด มีรายงานว่า คุณตาหวง ผิง (นามสมมติ) เจ้าของบ้านวัยชราซึ่งอาศัยอยู่กับหลานชายวัย 11 ปี ได้ตัดสินใจย้ายออกจากบ้านที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านดังกล่าวแล้ว หลังจากไม่สามารถทนต่อเสียงดังและแรงสั่นสะเทือนจากรถยนต์และรถบรรทุกที่วิ่งผ่านตลอด 24 ชั่วโมงได้อีกต่อไป

จุดเริ่มต้นของบ้านตะปู: เมื่อประชาชนไม่ยอมขายบ้าน

บ้านตะปู (Nail House) คือคำที่ชาวจีนใช้เรียกบ้านที่เจ้าของไม่ยอมย้ายออก แม้รัฐบาลหรือบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะเวนคืนที่ดินไปแล้วก็ตาม บ้านเหล่านี้จึงมักตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางพื้นที่ก่อสร้าง เหมือน "ตะปูที่ตอกแน่น" จนถอนออกไม่ได้

กรณีของคุณตาหวงเริ่มขึ้นเมื่อรัฐบาลท้องถิ่นในเจียงซูมีแผนก่อสร้างทางด่วนเชื่อมเมืองสำคัญ โดยที่ดินส่วนใหญ่ในพื้นที่ถูกเวนคืนไปเรียบร้อย เพื่อนบ้านทั้งหมดต่างยอมรับเงินชดเชยและย้ายออก แต่คุณตาหวงกลับปฏิเสธ แม้รัฐบาลเสนอเงินชดเชยสูงถึง 7.5 ล้านบาท (ราว 1.5 ล้านหยวน) เขาก็ยังยืนกรานที่จะอยู่ต่อไป

เหตุผลหลักที่คุณตาหวงไม่ยอมขายบ้าน ก็เพราะเขาผูกพันกับที่ดินผืนนี้ซึ่งสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน อีกทั้งยังเป็นที่อยู่อาศัยหลักของครอบครัว และเขามองว่ามูลค่าที่แท้จริงไม่อาจประเมินได้เพียงตัวเงิน

บ้านถูกล้อมรอบด้วยทางด่วน: จากการต่อต้านสู่การถูกโดดเดี่ยว

เมื่อเจ้าของบ้านไม่ยอมย้ายออก โครงการทางด่วนก็ยังเดินหน้าต่อไป สุดท้ายบ้านสองชั้นของคุณตาหวงจึงถูกล้อมรอบด้วยถนนทางด่วนอย่างสมบูรณ์ ภาพถ่ายทางอากาศที่เผยแพร่ในสื่อท้องถิ่นและโซเชียลมีเดีย แสดงให้เห็นบ้านหลังเล็กตั้งอยู่กลางวงแหวนคอนกรีตที่รถยนต์วิ่งผ่านไปมานับพันคันต่อวัน

ในตอนแรก เรื่องราวนี้ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับระบบ และหลายคนยกย่องคุณตาหวงว่าเป็นคนกล้าหาญที่ไม่ยอมจำนนต่อแรงกดดันจากภาครัฐ แต่เมื่อถึงวันที่ถนนเปิดใช้งานจริงในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ภาพโรแมนติกเหล่านั้นก็ถูกแทนที่ด้วยความจริงอันโหดร้าย

เสียงเครื่องยนต์ รถบรรทุก และแรงสั่นสะเทือนจากการจราจรที่หนาแน่นตลอดทั้งวันทั้งคืน ทำให้การใช้ชีวิตภายในบ้านแทบเป็นไปไม่ได้ แม้คุณตาหวงและหลานชายพยายามทนอยู่ต่ออีกหลายเดือน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องยอมแพ้ต่อสภาพความจริง

เสียงดังที่ทนไม่ไหว: จุดจบของตำนานบ้านตะปู

จากรายงานของสื่อท้องถิ่น ระบุว่า ผู้คนเริ่มสังเกตเห็นบ้านตะปูแห่งนี้อยู่ในสภาพทรุดโทรมมากขึ้นเรื่อย ๆ หน้าต่างแตกหัก พื้นที่รอบบ้านถูกปล่อยทิ้งจนหญ้าขึ้นรก และไม่มีใครอาศัยอยู่แล้ว

ต่อมาเมื่อผู้สื่อข่าวติดต่อสอบถามไปยังคุณตาหวง เขาก็ยอมรับว่าครอบครัวของตนได้ย้ายออกไปจริง เนื่องจาก “ไม่สามารถทนเสียงดังจากถนนได้อีกต่อไป”

อย่างไรก็ตาม การย้ายออกครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าคุณตาหวงจะได้รับเงินชดเชยก้อนโตเหมือนข้อเสนอแรก เพราะหากบ้านถูกทุบทิ้งภายหลัง กฎหมายระบุว่าค่าชดเชยจะถูกประเมินใหม่ ซึ่งมักจะมีมูลค่าน้อยลงกว่าที่เคยเสนอไว้ก่อนหน้า ทำให้ครอบครัวของเขาอาจเสียโอกาสครั้งสำคัญ

กระแสในโลกออนไลน์: ความเห็นที่แตกออก

เรื่องราวการย้ายออกของบ้านตะปูถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียของจีนอย่างกว้างขวาง หลายคนแสดงความเห็นในเชิงเห็นใจว่าคุณตาหวงพยายามสู้เต็มที่แล้ว แต่ก็ต้องยอมแพ้ต่อความจริงของชีวิต ขณะที่บางคนกลับมองในเชิงเสียดสี เช่น คอมเมนต์หนึ่งที่ว่า

“คุณต้องมีหัวใจที่แข็งแกร่งมากพอ ถึงจะทนต่อเสียงหัวเราะเยาะของเพื่อนบ้านที่ย้ายออกไปก่อนหน้านี้ได้”

นอกจากนี้ยังมีผู้ใช้โซเชียลจำนวนไม่น้อยที่วิจารณ์ว่า การปฏิเสธข้อเสนอเงินชดเชยตั้งแต่แรกอาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะสุดท้ายก็ไม่สามารถรักษาบ้านเอาไว้ได้อยู่ดี

บ้านตะปูกับภาพสะท้อนสังคมจีน

กรณีบ้านตะปูของคุณตาหวงไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา มีหลายกรณีที่เจ้าของบ้านปฏิเสธการเวนคืน แม้จะถูกรัฐบาลกดดันหรือเสนอเงินจำนวนมากก็ตาม

บ้านตะปูเหล่านี้สะท้อนถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่าง การพัฒนาเมืองกับสิทธิของประชาชน ในการครอบครองที่ดิน บางกรณีเจ้าของบ้านสามารถต่อรองจนได้รับค่าชดเชยสูงกว่าปกติ แต่บางกรณีก็ต้องลงเอยด้วยความพ่ายแพ้เหมือนกับคุณตาหวง

สำหรับนักวิชาการด้านสังคมวิทยาในจีน หลายคนมองว่า บ้านตะปูเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการที่เสียงของประชาชนรายบุคคลไม่สามารถเอาชนะนโยบายการพัฒนาเมืองระดับใหญ่ได้ แม้จะเป็นการต่อสู้ที่น่าชื่นชม แต่สุดท้ายแล้ว ความอยู่รอดและคุณภาพชีวิตก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

บทเรียนจากบ้านตะปูเจียงซู

เรื่องราวนี้กลายเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับทั้งประชาชนและรัฐบาล

สำหรับประชาชน: แม้การยืนหยัดเพื่อสิทธิของตนเองเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่บางครั้งการเจรจาและการประเมินสถานการณ์ในระยะยาวอาจสำคัญกว่า เพราะการปฏิเสธข้อเสนอในวันนี้อาจทำให้สูญเสียโอกาสในวันหน้า

สำหรับรัฐบาลท้องถิ่น: กรณีนี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการหามาตรการชดเชยที่ยุติธรรมและสร้างสรรค์มากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งระหว่างโครงการพัฒนาเมืองกับประชาชน รวมถึงควรจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การติดตั้งระบบป้องกันเสียง หากบ้านยังคงอยู่ใกล้ถนนใหญ่

สรุป

หลังจากเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านการเวนคืนที่ดินอยู่หลายเดือน ในที่สุด “บ้านตะปู” แห่งเจียงซู ก็ปิดตำนานลง เมื่อคุณตาหวงและหลานชายตัดสินใจย้ายออกเพราะไม่สามารถทนเสียงและแรงสั่นสะเทือนจากถนนทางด่วนได้อีกต่อไป

แม้เขาจะเคยปฏิเสธข้อเสนอเงินชดเชยสูงถึง 7.5 ล้านบาท แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ ที่คุ้มค่า บ้านที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ก็เหลือเพียงซากเงียบเหงาท่ามกลางถนนที่พลุกพล่าน

เรื่องราวนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงในสังคมจีน และเป็นตัวอย่างสะท้อนถึงความท้าทายที่เกิดขึ้นเมื่อการพัฒนาเมืองต้องปะทะกับสิทธิของประชาชนรายบุคคล