เดือด! อินฟลูฯกัมพูชาเหยียด คนไทยพูดเหมือนไพร่ แถมอ้างถูกทหารล้างสมอง
ดราม่าระอุ! อินฟลูเอนเซอร์กัมพูชา "Sreynaromii" ไลฟ์สดเดือด วิจารณ์คนไทยใช้ "ภาษาไพร่" พร้อมท้าให้ลงพื้นที่จริงพิสูจน์ปัญหาชายแดน
ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โลกโซเชียลไทย–กัมพูชากำลังลุกเป็นไฟ หลังจากอินฟลูเอนเซอร์สาวกัมพูชาชื่อดังใน TikTok และ Facebook อย่าง Sreynaromii ได้ออกมาโพสต์คลิปวิพากษ์วิจารณ์คนไทยอย่างรุนแรง พร้อมใช้คำพูดที่กระทบกระเทือนจิตใจคนไทยจำนวนมาก
โดยในคลิปดังกล่าว Sreynaromii ตอบโต้คอมเมนต์ของชาวไทยที่เข้าไปถกเถียงประเด็นดินแดนบริเวณชายแดน ซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงหลังเกิดกรณี ทหารไทยล้อมรั้วลวดหนามในพื้นที่ที่มีข้อพิพาท โดยเธอกล่าวหาว่า คนไทยพูดจาไม่เพราะ ใช้ “ภาษาไพร่” และยังบอกอีกว่าคนไทยถูกทหารล้างสมองให้เชื่อตาม ๆ กัน โดยไม่เคยลงพื้นที่จริงเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง
คำพูดแรง! สร้างความไม่พอใจให้ชาวไทย
ในคลิปความยาวเกือบ 3 นาที Sreynaromii กล่าวอย่างเผ็ดร้อนว่า
“ที่ตรงนั้นเป็นที่ดินของเสียมหรอ? ไม่มั้ง พี่สาวฉัน พูดติด ๆ นะ ไม่ต้องขึ้นกูกับมึง เป็นภาษาไพร่ พูดไทยเป็นผู้ดีหน่อย ฉันนี่อุตส่าห์พูดเป็นภาษาไทย ยังเพราะเลย แต่คุณพูดภาษาไทยไม่เพราะ ทำไม่เหมือนเป็นคนไทยเลยนะ พูดจาแบบบ้านนอกไพร่มากเลย”
จากนั้นเธอยังเสริมว่า
“ถ้ายังไม่ชัดเจน โอเค ยังไม่เชื่อ ถ้าทหารไทยมารุกรานประเทศกัมพูชา ที่ดินของกัมพูชา ที่ประชากรอยู่เนี่ย มา มาดู ลงมาดู อย่าแต่กับปาก ๆ ๆ อยู่กับที่นะ มันไม่ถูกต้อง กัมพูชาเขาก็แห่กันไปดูนะ ว่าเนี่ยขี้ขโมย มาขโมยที่ดินของเขา แต่ประชาชนฝั่งนั้นไม่เห็นจะมา เชื่อหมดเลย ใครว่าไงก็เชื่อตาม เชื่อตาม ประสาทโง่แล้ว หนูว่าโง่แล้ว ฉันว่าโง่ชัด ๆ เลย ให้ทหารล้างสมองพวก ๆ ๆ หมดแล้ว โอเค โอเค มา ๆ ๆ”
ถ้อยคำดังกล่าวถูกมองว่าหมิ่นเหม่ และมีลักษณะดูถูกคนไทยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะคำว่า “ภาษาไพร่” ที่ทำให้คนไทยจำนวนมากรู้สึกไม่พอใจ เพราะสื่อไปถึงการแบ่งชนชั้น และการดูถูกวัฒนธรรมการพูดคุยของชาวบ้านทั่วไป
เบื้องหลังดราม่า : ความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชา
ดราม่าที่ปะทุขึ้นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่ผูกโยงกับสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โดยมีรายงานว่าทหารไทยได้ทำการล้อมรั้วลวดหนามในบางพื้นที่ที่อยู่ใกล้เขตแดน ซึ่งฝ่ายกัมพูชามองว่าเป็น “การรุกล้ำ” และ “ยึดครองพื้นที่”
แม้หน่วยงานรัฐทั้งสองฝ่ายจะยังไม่มีการออกแถลงการณ์ชัดเจน แต่บรรยากาศในโลกออนไลน์กลับเดือดพล่าน โดยเฉพาะฝั่งกัมพูชาที่ชาวเน็ตจำนวนมากมองว่าไทย “ขโมยที่ดิน” ขณะที่ฝั่งไทยเองก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ออกมาโต้กลับว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตอธิปไตยไทย
ในสภาพที่ความจริงยังไม่ชัดเจน การปะทะคารมออนไลน์จึงกลายเป็นพื้นที่ระบายอารมณ์ และเป็นเวทีที่ทั้งสองฝั่งใช้เพื่อแสดงจุดยืนของตน
อินฟลูเอนเซอร์กับบทบาท “ผู้นำความคิด”
สิ่งที่น่าสนใจคือ คลิปของ Sreynaromii ไม่ได้เป็นเพียงคลิปทั่วไป แต่กลายเป็น “เครื่องมือ” ที่สร้างการรับรู้ในวงกว้าง เธอมีผู้ติดตามจำนวนมากในกัมพูชา โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ทำให้เสียงของเธอถูกขยายออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อคลิปถูกเผยแพร่บน TikTok และ Facebook มันถูกแชร์ต่ออย่างกว้างขวาง ทั้งในฝั่งกัมพูชาและฝั่งไทย ซึ่งในไทยเอง ผู้ใช้โซเชียลจำนวนมากเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์ และมีการนำถ้อยคำของเธอไปพูดถึงในหลายกลุ่ม รวมถึงสื่อออนไลน์บางแห่งก็หยิบประเด็นนี้มารายงาน
มิติทางภาษา : “ภาษาไพร่” กับความรู้สึกที่ถูกดูถูก
หนึ่งในคำที่สร้างแรงสั่นสะเทือนมากที่สุดคือคำว่า “ภาษาไพร่” เพราะในสังคมไทย คำว่า “ไพร่” มีความหมายเชิงลบ หมายถึงชนชั้นล่าง หรือคนที่ไม่มีเกียรติ ซึ่งเมื่อถูกนำมาใช้ประกอบกับ “ภาษา” ก็สื่อไปในทางว่าคนไทยพูดจาไม่สุภาพ ไร้การศึกษา และไม่มีความเป็นผู้ดี
แม้ในบางกรณีคำนี้อาจถูกใช้เพื่อ “เหน็บแนม” หรือ “แซว” แต่เมื่อออกจากปากอินฟลูเอนเซอร์กัมพูชาในประเด็นที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ ย่อมทำให้ชาวไทยรู้สึกถูกดูถูกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นี่จึงสะท้อนว่า ภาษา ไม่ใช่เพียงเครื่องมือสื่อสาร แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของศักดิ์ศรี ความภาคภูมิใจ และอัตลักษณ์ของชาติด้วย
ปฏิกิริยาในโลกออนไลน์
หลังจากคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ เสียงสะท้อนในโลกออนไลน์ฝั่งไทยแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม
1. กลุ่มที่โกรธและตอบโต้แรง
ใช้ถ้อยคำด่าทอกลับไป
มองว่าอินฟลูเอนเซอร์รายนี้ “เหยียดคนไทย” และ “ไม่ให้เกียรติ”
2. กลุ่มที่เรียกร้องให้เพิกเฉย
มองว่าการตอบโต้แรง ๆ จะยิ่งทำให้ดราม่าบานปลาย
แนะนำให้ปล่อยผ่าน ไม่ควรให้ความสำคัญ
3. กลุ่มที่วิเคราะห์เชิงการเมือง
เห็นว่าเรื่องนี้ถูกใช้เป็น “เครื่องมือปลุกกระแสชาตินิยม”
มองว่าปัญหาที่แท้จริงคือความไม่ชัดเจนของเขตแดนและการบริหารจัดการระหว่างประเทศ ไม่ใช่แค่คำพูดของอินฟลูเอนเซอร์
บทเรียนจากกรณีนี้
กรณีของ Sreynaromii สะท้อนให้เห็นหลายประเด็นสำคัญ ได้แก่
พลังของโซเชียลมีเดีย : อินฟลูเอนเซอร์เพียงคนเดียวสามารถจุดกระแสใหญ่ได้ในเวลาอันสั้น
ความเปราะบางของประเด็นชายแดน : เรื่องเขตแดนไทย–กัมพูชายังคงเป็นประเด็นอ่อนไหว และพร้อมจะปะทุขึ้นทุกเมื่อ
การใช้ภาษาที่สร้างความขัดแย้ง : คำพูดที่ไม่ระมัดระวังอาจทำให้ความขัดแย้งเล็ก ๆ ขยายกลายเป็นความบาดหมางระหว่างประเทศได้
ความจำเป็นของการสื่อสารอย่างมีสติ : ทั้งประชาชนและผู้มีอิทธิพลในโลกออนไลน์ควรตระหนักว่าทุกถ้อยคำมีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติ
สรุป
ดราม่า อินฟลูเอนเซอร์กัมพูชา Sreynaromii ที่ออกมาวิจารณ์คนไทยว่าใช้ “ภาษาไพร่” และกล่าวหาว่าถูกทหารล้างสมอง เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ตอกย้ำถึงความตึงเครียดในประเด็นชายแดนไทย–กัมพูชา รวมถึงบทบาทของโซเชียลมีเดียในการสร้างความขัดแย้งหรือปลุกกระแสสังคม
แม้หลายฝ่ายจะมองว่านี่อาจเป็นเพียงการแสดงออกส่วนบุคคล แต่เมื่อถ้อยคำเหล่านั้นถูกขยายในพื้นที่ออนไลน์ ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจรุนแรงเกินกว่าที่ใครคาดคิด
ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ การมีสติและแยกแยะข้อเท็จจริง เพราะสุดท้ายแล้ว การทะเลาะกันด้วยคำพูดบนโลกออนไลน์ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาชายแดนที่ซับซ้อน แต่กลับยิ่งตอกลึกความแตกแยกระหว่างประชาชนของสองประเทศ









