ฮุนมาเน็ตโชว์ฟอร์ม “ประจบขั้นเทพ” ดันพ่อใหญ่ทรัมป์ลุ้นโนเบลสันติภาพ ต่างชาติขำกันครืน เวียดนามส่ายหัว
วันนี้ผมมีเรื่องฮา ๆ ปนงง ๆ มาเล่าให้ฟังกัน บอกเลยว่าข่าวนี้แม่งเหมือนซีนจากหนังคอมเมดี้การเมืองเลยทีเดียว เรื่องมันเกิดที่กัมพูชานี่เองครับ เมื่อ “ฮุน มาเน็ต” นายกฯ คนปัจจุบันของเขมร ออกมาทำเรื่องที่คนทั้งโลกถึงกับขมวดคิ้วแล้วหัวเราะในลำคอ
คือพี่แกดันทำหนังสือเสนอชื่อ “พ่อใหญ่โดนัลด์ ทรัมป์” อดีตปธน.สหรัฐ ให้เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เหตุผลก็เพราะว่า “ทรัมป์ช่วยไกล่เกลี่ยให้ไทยกับกัมพูชาหยุดยิงกันได้” …อ่านแล้วก็แบบ เอ้า? เดี๋ยวนะพ่อคุณ มันขนาดนั้นเลยเหรอ!?
ใจความในเอกสารนี่นะ ฟังแล้วโคตรฟีลซึ้งน้ำตาไหล (แต่คนอ่านนี่น้ำตาเล็ดเพราะขำ) มาเน็ตบอกว่าการเสนอชื่อนี้สะท้อนถึง “ความกตัญญูของชาวกัมพูชา” ที่มีต่อบทบาทสำคัญของทรัมป์ในการฟื้นฟูสันติภาพบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา แถมยกย่องว่าทรัมป์เป็นผู้นำที่มุ่งมั่นแก้ไขความขัดแย้ง ป้องกันหายนะ และเจรจาหยุดยิงอย่างฉับพลัน
ฟังดูยิ่งใหญ่ใช่มั้ยครับ? แต่ปัญหาคือ… เรื่องนี้มันไม่ได้รับเสียงชื่นชมแบบที่คิด กลับกลายเป็นว่าทั้งต่างชาติ ทั้งเพื่อนบ้านในอาเซียน พากันหัวเราะแล้วก็ซุบซิบกันยกใหญ่ ว่า “นี่มันสกิลประจบขั้นเทพหรือเปล่า?”
เสียงจากชาวกัมพูชา
ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะด่าไปหมดนะครับ มีชาวเขมรบางส่วนออกมาให้คอมเมนต์ว่า การขอบคุณทรัมป์นี่แค่ทำตามมารยาทเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรพิเศษ บางคนก็บอกว่าทั้งประเทศพร้อมสนับสนุนให้ทรัมป์ได้รางวัลโนเบลจริง ๆ เพราะมองว่าแกมีส่วนช่วยเรื่องสันติภาพ (ซึ่งก็มีคนฟังแล้วทำหน้างง ๆ ว่า…จริงดิ)
บางคนยังเอ่ยถึง “อันวาร์ อิบรอฮีม” นายกฯ มาเลเซีย ว่าสมควรได้รางวัลด้วยเช่นกันเพราะทุ่มเทส่งเสริมสันติภาพเหมือนกัน …แต่เอาจริง ผมว่ามันก็เริ่มหลุดประเด็นละ เหมือนกำลังคุยเรื่องฟุตบอลอยู่ดี ๆ แล้วเพื่อนเปลี่ยนไปพูดเรื่องหวย
ฝั่งชาวตะวันตก
คอมเมนต์จากฝรั่งนี่โคตรเผ็ดครับ เขาบอกกันตรง ๆ ว่า “ทรัมป์ไม่เคยยุติอะไรหรอก เขาแค่หาผลประโยชน์ใส่ตัวเอง” บางคนถึงกับหัวเราะน้ำตาไหล บอกว่าข่าวนี้เหมือนดูโชว์ตลกก่อนนอน ยกย่องทรัมป์ว่าเป็นคนสร้างสันติภาพให้คนอื่น ทั้งที่บ้านตัวเอง (อเมริกา) ยังตีกันอยู่ทุกวัน ฟังดูย้อนแย้งมั้ยล่ะ
มีคนแซะด้วยว่าการเสนอชื่อนี้อาจมีดีลลับ เช่น แลกเครื่องบินหรือผลประโยชน์ทางการเมือง และไม่ลืมจิ้มแทงใจดำว่า ฮุน มาเน็ต ก็มาจากการสืบทอดอำนาจจากพ่อ (ฮุน เซน) ที่ปกครองมาเกิน 30 ปีแล้ว แถมพ่อแกก็ขึ้นชื่อเรื่องใช้ความรุนแรง พอมาเน็ตขึ้นแทน ก็เลยต้องสร้างภาพใหม่ หา “ผลงานโก้ ๆ” มาบังหน้าซะหน่อย
ฝั่งเวียดนาม
โอ้โห อันนี้ก็เผ็ดไม่แพ้กัน คนเวียดนามบางคนบอกว่า “แม้ทรัมป์จะพูดเรื่องสันติภาพ แต่การกระทำกลับสวนทาง” เพราะเขาส่งอาวุธให้ยูเครนจนสงครามกับรัสเซียยืดเยื้อ และเคยสั่งโจมตีอิหร่านจนมีผู้ตายจำนวนมาก
อีกคอมเมนต์ก็บอกตรง ๆ ว่า “มาเน็ตกลัวไทย เลยต้องประจบทรัมป์” บางคนมองว่านี่คือการพยายามเอาใจอเมริกา เพราะกลัวจีนจะลดบทบาทกัมพูชาลง ส่วนคอมเมนต์สุดท้ายก็แสบ ๆ คัน ๆ บอกว่า “คนไร้ความสามารถต้องประจบเพื่อความอยู่รอด เสียงของเขาก็ไม่มีน้ำหนักเพราะขาดความน่าเชื่อถือ”
มุมผม
เอาจริงนะ ข่าวนี้มันก็เป็นเหมือนบทเรียนเรื่อง “ภาพลักษณ์ทางการเมือง” เลย คนเราเวลาทำอะไรหวังให้ดูดี มันไม่ใช่ว่าทุกคนจะมองแบบนั้น โดยเฉพาะถ้าภาพลักษณ์เก่า ๆ ของตัวเองหรือครอบครัวยังติดตาอยู่ การออกมาเชียร์ทรัมป์แบบจัดเต็มนี่ มันเลยถูกมองว่าเป็นการ “เอาตัวรอด” มากกว่าจะเป็น “น้ำใจแท้”
อีกอย่างเรื่องรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพนี่ ไม่ใช่ว่าอยากเสนอชื่อใครก็เสนอแล้วคนจะเฮกันทั้งโลก มันต้องมาจากผลงานที่เห็นจริงในวงกว้าง ไม่ใช่เหตุการณ์สั้น ๆ แถมยังมีข้อกังขาเยอะ
แต่ในอีกมุมก็ต้องยอมรับว่ามาเน็ตเขาอาจมองเรื่องนี้เป็นโอกาสเรียกความสนใจให้กัมพูชา และสร้างภาพตัวเองในเวทีโลก แบบว่า “เราเป็นมิตรกับมหาอำนาจนะ อย่ามายุ่งกับเรา” …ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ก็ต้องยอมรับเสียงวิจารณ์ด้วยเหมือนกัน
สรุปคือข่าวนี้โคตรน่าสนใจเพราะมันมีทั้งดราม่า การเมือง และมุกตลกแบบไม่ตั้งใจ แถมยังมีคอมเมนต์จากหลายประเทศที่แซะกันอย่างมันส์ปาก






