ดร.ตฤณห์ ลั่น! ไม่รับคำขอโทษหมอบี แฉบทเหยื่อหลอกตา
ดราม่า “หมอบี” ขอโทษนักอาชญาวิทยา แต่ถูกเบรกทันควัน — ตร. ตฤณท์ ชี้คนที่ควรขอโทษจริง ๆ คือประชาชน
วันที่ 11–12 สิงหาคม 2568 กลายเป็นช่วงเวลาที่โลกโซเชียลไทยจับตามองกันอย่างมาก หลังจากเกิดกระแสข่าวต่อเนื่องเกี่ยวกับ หมอบี หรือ นายเสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะ “ทูตสื่อวิญญาณ” ที่เคยมีข่าวใหญ่กรณีเงินบริจาคและข้อสงสัยต่าง ๆ จนต้องเดินทางไปให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจนานกว่า 6 ชั่วโมง
เบื้องหลังการเข้าพบตำรวจ
ตามรายงาน เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา หมอบีได้เดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อนำเอกสารที่เหลือมาส่งมอบ และให้ถ้อยคำเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีที่อยู่ในความสนใจของสังคม หลังเสร็จสิ้นขั้นตอนการให้ปากคำ หมอบีได้เปิดใจกับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก พร้อมกล่าวสิ่งที่ตน “อยากพูดมากที่สุด” คือการออกมาขอโทษ ดร. ตฤณท์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยาเชิงจิตวิทยาและพฤติกรรมอาชญากร ที่เคยออกมาแสดงความคิดเห็นเชิงวิเคราะห์กรณีของตน
หมอบีกล่าวว่า ตนเพิ่งรับรู้ว่าที่ผ่านมาอาจมีคำพูดหรือการกระทำบางอย่างที่ทำให้ ดร. ตฤณท์ ไม่พอใจ แม้จะไม่แน่ใจว่าประเด็นคืออะไร แต่ก็ขอขมาล่วงหน้าเพื่อความสบายใจ
“ถ้าผมเคยพูดจาไปแล้วมีผลกระทบทำให้งานของอาจารย์ดูไม่ดี ผมก็ต้องกราบขอโทษ ขออโหสิกรรม ณ ที่นี้ด้วย” — หมอบี กล่าวต่อหน้าสื่อ
พุทธ อภิวรรณ โฟนอินสด — เปิดทางให้ ตร. ตฤณท์ ตอบกลับ
หลังจากคลิปคำขอโทษของหมอบีถูกเผยแพร่ออกไป พุทธ อภิวรรณ ผู้ประกาศข่าวชื่อดังจากช่อง 8 ได้ทำการวิดีโอคอลเชื่อมต่อกับ ดร. ตฤณท์ เพื่อสอบถามความเห็นแบบสด ๆ และถ่ายทอดให้ผู้ชมได้ฟังกันในทันที
ดร. ตฤณท์ เปิดฉากด้วยการตั้งข้อสังเกตว่า การที่หมอบีเลือกจะขอโทษตนต่อหน้าสื่อเป็นเรื่องแรก อาจไม่ใช่เพราะความสำนึกผิดแท้จริง แต่เป็นความพยายาม “เบี่ยงประเด็น” ให้กลายเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างบุคคลสองคน
“คนแรกที่คุณควรขอโทษ คือประชาชนที่บริจาคเงินให้คุณ ไม่ใช่มาขอโทษผมแบบนี้” — ดร. ตฤณท์ กล่าวย้ำ
วิเคราะห์เชิงลึก — ขอโทษผิดคน?
ดร. ตฤณท์ อธิบายว่า ตนไม่เคยรู้จักหรือมีปัญหาส่วนตัวกับหมอบีมาก่อน การที่ต้องออกมาแสดงความเห็นก็เพราะคดีนี้มีลักษณะเป็น “อาชญากรรม” ที่กระทบต่อสังคมและผู้บริจาคจำนวนมาก ไม่ใช่เรื่องขัดแย้งส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องมาขอโทษตน เพราะตนไม่ได้เสียหายโดยตรง
สิ่งที่ควรทำมากกว่าคือ ออกมาขอโทษและชี้แจงต่อ พ่อแม่พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่ร่วมบริจาคเงิน แต่ภายหลังพบว่ามีข้อสงสัยเรื่องการนำเงินไปใช้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจริง
ดร. ตฤณท์ ยังกล่าวต่อว่า การกล่าวคำขอโทษตนเป็นคนแรกหลังจากออกจากห้องสอบสวน อาจทำให้คนที่ไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นเข้าใจผิด คิดว่าความขัดแย้งครั้งนี้เกิดจากการทะเลาะส่วนตัว ทั้งที่ความจริงคือไม่เคยรู้จักกัน และตนเพียงทำหน้าที่ปกป้องสังคมจากบุคคลที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายซ้ำ
ปฏิกิริยาของสังคมออนไลน์
หลังการออกมาโต้ตอบของ ดร. ตฤณท์ คลิปวิดีโอการโฟนอินสดถูกแชร์ต่อในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว หลายคนแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า “หมอบีควรขอโทษคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง” มากกว่ามุ่งไปที่บุคคลซึ่งวิจารณ์หรือวิเคราะห์เหตุการณ์
มีผู้ใช้โซเชียลบางรายตั้งข้อสังเกตว่า การเลือกใช้วิธี “ขอโทษผ่านสื่อ” อาจเป็นกลยุทธ์ทางภาพลักษณ์ เพื่อให้สังคมมองว่าตนมีความจริงใจ แต่หากไม่ตามด้วยการกระทำที่ชัดเจน เช่น การคืนเงินหรือการชี้แจงข้อเท็จจริง ก็อาจถูกมองว่าเป็นเพียงการ “พูดเอาหน้า”
ความหมายของคำขอโทษในสังคมคดีดัง
กรณีนี้จุดประเด็นให้ถกเถียงกันถึงความหมายและความเหมาะสมของการกล่าวคำขอโทษในสังคม โดยเฉพาะเมื่อคดีเกี่ยวพันกับผู้เสียหายจำนวนมาก การกล่าวคำขอโทษที่ตรงต่อผู้ได้รับผลกระทบจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะสามารถสร้างความเชื่อมั่นและบรรเทาความโกรธเคืองของสังคมได้จริง
ในขณะเดียวกัน การขอโทษบุคคลที่ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง แม้จะทำให้ภาพลักษณ์ดูนอบน้อม แต่ก็อาจถูกวิจารณ์ว่าเป็นการเบี่ยงความสนใจ หรือทำให้ประเด็นหลักของคดีเลือนหายไป
สรุปและทิศทางต่อไป
คดีของหมอบียังอยู่ในกระบวนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะที่กระแสสังคมยังคงจับตาอย่างใกล้ชิดว่า หลังจากนี้จะมีการออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงต่อผู้บริจาคและสาธารณชนอย่างไร และจะมีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยวิธีไหน
สิ่งที่แน่ชัดจากปาก ดร. ตฤณท์ คือ การยืนยันว่าตนไม่ต้องการคำขอโทษส่วนตัว แต่ต้องการให้หมอบีหันไปขอโทษ “คนที่เสียหายจริง ๆ” และรับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้สังคมตกอยู่ในความสับสน หรือเกิดความเสียหายซ้ำในอนาคต






















