โป๊ะแตก! กัมพูชายังนำเข้าสินค้าไทย แม้ปิดด่าน-ประกาศแบน
ยอดนำเข้าสินค้าจากไทยสู่กัมพูชาลดฮวบ 44% เดือนกรกฎาคม ท่ามกลางพิพาทชายแดนและมาตรการคว่ำบาตร
สถานการณ์การค้าระหว่างไทย–กัมพูชาในเดือนกรกฎาคม 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดทางการเมืองและปัญหาพิพาทชายแดนที่เริ่มส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อภาคเศรษฐกิจ โดยข้อมูลล่าสุดจาก กรมศุลกากรและสรรพสามิตกัมพูชา (GDCE) ระบุว่า ยอดนำเข้าสินค้าจากไทยลดลงถึง 44% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงอย่างมากในระยะเวลาเพียงเดือนเดียว
ตัวเลขการค้าล่าสุด
ข้อมูลเดือนกรกฎาคม 2568
นำเข้าจากไทย: 166 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5,360 ล้านบาท)
ลดลงจาก 297.40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 9,600 ล้านบาท) ในเดือนเดียวกันของปี 2567
ส่งออกไปไทย: 40.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,300 ล้านบาท)
ลดลงจาก 59.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,900 ล้านบาท) หรือลดลง 31.3%
ข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม–กรกฎาคม 2568
ส่งออกจากกัมพูชาไปไทย: 488.70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 15,800 ล้านบาท)
นำเข้าสินค้าจากไทย: 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 61,000 ล้านบาท)
มูลค่าการค้ารวม: 2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 77,000 ล้านบาท) ลดลง 0.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปัจจัยหลัก: พิพาทชายแดนและมาตรการปิดด่าน
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้การนำเข้าสินค้าจากไทยลดลงอย่างรุนแรง คือปัญหาพิพาทชายแดนระหว่างสองประเทศ ซึ่งนำไปสู่การปิดด่านสำคัญ รวมถึงมาตรการ คว่ำบาตรสินค้าไทยบางประเภท ของทางการกัมพูชา
Chey Tech นักวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจและสังคมของกัมพูชา ให้ความเห็นกับสื่อ KiriPost ว่า “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการลดลงในเดือนกรกฎาคมเป็นผลโดยตรงจากประเด็นชายแดนไทย–กัมพูชา”
เขาเสริมว่า “ตัวเลขการนำเข้าลดลงราว 44% ในเดือนนี้ และมีแนวโน้มว่าจะยังลดลงต่อเนื่องในเดือนหน้า” โดยเขายังชี้ว่าการนำเข้าสินค้าที่ลดลง ไม่ได้จำกัดแค่สินค้าที่มีแหล่งผลิตจากไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสินค้าที่มาจากประเทศที่สามซึ่งต้องผ่านไทยก่อนเข้าสู่กัมพูชา
มาตรการคว่ำบาตรและการห้ามนำเข้าสินค้าจากไทย
หลังการปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชา เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 กรมศุลกากรและสรรพสามิตกัมพูชา ได้เผยแพร่รายการสินค้าที่ห้ามนำเข้าจากไทย โดยรายการนี้ครอบคลุมสินค้าหลักหลายประเภท เช่น
ผักและผลไม้สด
น้ำมันเชื้อเพลิง (เบนซิน, ดีเซล)
ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และก๊าซไนโตรเจนเหลว
น้ำมันเครื่องบิน
ผลิตภัณฑ์น้ำมันเชิงอุตสาหกรรม
แม้จะมีการบอยคอตต์สินค้าไทยในโลกออนไลน์ แต่ในทางปฏิบัติ สินค้าที่ถูกแบนมีเพียงบางประเภท ไม่ได้ครอบคลุมทุกหมวดสินค้า อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อการค้าก็ยังชัดเจน โดยเฉพาะในภาคพลังงานและอาหารสด
มิติทางการเมือง: ความทรงจำทางประวัติศาสตร์และความไม่พอใจ
Chey Tech ยังกล่าวถึงมิติทางประวัติศาสตร์ว่า ความตึงเครียดในปัจจุบันเชื่อมโยงกับความทรงจำเกี่ยวกับความขัดแย้งในอดีต โดยเฉพาะเหตุการณ์ล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับการทรมานทหารกัมพูชาและการจับกุมทหาร 18 นาย ซึ่งจนถึงปัจจุบันยังไม่ได้รับการปล่อยตัว เหตุการณ์เหล่านี้สร้างความไม่พอใจในหมู่ประชาชนและถูกใช้เป็นเหตุผลสนับสนุนมาตรการคว่ำบาตร
เสียงจากนักเศรษฐศาสตร์: โอกาสในการพึ่งพาตนเอง
ในอีกมุมหนึ่ง Duch Darin นักเศรษฐศาสตร์กัมพูชา มองว่าการนำเข้าสินค้าจากไทยที่ลดลงอย่างมากอาจสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจภายในประเทศ
เขาระบุว่า “บางส่วนของปรากฏการณ์นี้เกี่ยวข้องกับการเติบโตของศักยภาพการผลิตภายใน โดยเฉพาะในภาคการเกษตร การแปรรูปอาหาร และการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมเบา ซึ่งทำให้ความจำเป็นในการพึ่งพาสินค้านำเข้าบางประเภทจากไทยลดลง”
ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม
การลดลงของการค้าระหว่างสองประเทศมีผลกระทบในหลายมิติ ได้แก่
1. ภาคธุรกิจนำเข้าและค้าส่ง
ผู้ประกอบการที่เคยพึ่งพาสินค้าจากไทยต้องหาทางปรับตัว อาจต้องเปลี่ยนแหล่งนำเข้าหรือปรับไลน์สินค้า
2. ราคาสินค้าในประเทศ
การขาดแคลนสินค้าบางประเภท เช่น ผักสด น้ำมันเชื้อเพลิง อาจส่งผลให้ราคาภายในประเทศปรับตัวสูงขึ้น
3. การลงทุนระหว่างประเทศ
ความตึงเครียดทางการเมืองและมาตรการคว่ำบาตรอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติระมัดระวังมากขึ้นในการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้าชายแดน
ทางเลือกและแนวโน้มในอนาคต
ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายมองว่า หากความตึงเครียดทางการเมืองยังดำเนินต่อไป ตัวเลขการค้าระหว่างไทย–กัมพูชาอาจลดลงต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 อย่างไรก็ตาม นี่อาจเป็นแรงกระตุ้นให้กัมพูชาเร่งกระจายแหล่งนำเข้าและเพิ่มการผลิตภายในประเทศ
แนวทางที่ถูกพูดถึงมากขึ้น ได้แก่
การหันไปค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านอื่น เช่น เวียดนาม และลาว
การนำเข้าสินค้าจากตลาดโลกโดยตรง โดยไม่ผ่านไทย
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ เพื่อเชื่อมต่อกับท่าเรือน้ำลึกและเส้นทางรถไฟ
บทสรุป
สถานการณ์ยอดนำเข้าสินค้าจากไทยที่ลดลง 44% ในเดือนกรกฎาคม 2568 เป็นสัญญาณเตือนชัดเจนว่าปัญหาพิพาทชายแดนสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจได้ในเวลาอันสั้น แม้บางฝ่ายมองว่านี่อาจเป็นโอกาสในการพึ่งพาตนเองมากขึ้น แต่ในระยะสั้น ผลกระทบด้านราคาและการขาดแคลนสินค้ายังคงเป็นความท้าทายใหญ่ของทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภค
ในภาพรวม เหตุการณ์นี้ตอกย้ำว่าความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางการเมืองเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก และการแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องมองทั้งสองมิติไปพร้อมกัน






















