รายุลั่น! เดินหน้าเอาผิดผู้นำกัมพูชาที่ ICC ฐานโจมตีพลเรือน
ไทยเดินหน้าร้องเรียนกัมพูชาต่ออนุสัญญาออตตาวา – เตรียมฟ้อง “ผู้นำกัมพูชา” ต่อ ICC ในข้อหาอาชญากรสงคราม
วันที่ 11 สิงหาคม 2568 – สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชายังคงร้อนแรงต่อเนื่อง หลังเหตุการณ์ที่กำลังพลทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชาลักลอบนำมาวางไว้ ล่าสุด นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาแถลงข่าวยืนยันว่า รัฐบาลไทยได้ดำเนินการยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ประธานอนุสัญญาออตตาวา แล้ว และเตรียมยื่นหลักฐานเพื่อฟ้องผู้นำกัมพูชาต่อ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในข้อหา “อาชญากรสงคราม”
เหตุการณ์ปะทะและการลักลอบวางทุ่นระเบิด
เหตุการณ์ล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2568 ในพื้นที่ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ขณะกำลังพลทหารไทย 3 นายทำหน้าที่ลาดตระเวนตรวจสอบความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดน ได้เหยียบกับระเบิดที่ถูกลักลอบนำมาวางใหม่ ส่งผลให้ทั้ง 3 นายได้รับบาดเจ็บ หนึ่งในนั้นบาดเจ็บสาหัสถึงขั้น ข้อเท้าซ้ายขาด
การตรวจสอบเบื้องต้นของฝ่ายไทยยืนยันว่า ระเบิดดังกล่าวเป็น ทุ่นระเบิดแบบสังหารบุคคล ซึ่งถูกนำมาวางในพื้นที่ที่เคยผ่านการเก็บกู้แล้ว ถือเป็นการละเมิดพันธกรณีของกัมพูชาภายใต้อนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจน
อนุสัญญาออตตาวาและความหมายของการละเมิด
อนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) หรือชื่อเต็มว่า อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ เก็บ สะสม ผลิต และโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และการทำลายทุ่นระเบิดดังกล่าว เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีเป้าหมายเพื่อกำจัดการใช้ทุ่นระเบิดเพื่อลดผลกระทบต่อพลเรือน
กัมพูชาเป็นหนึ่งในภาคีของอนุสัญญาฉบับนี้ ซึ่งหมายความว่ามีพันธกรณี ห้ามใช้หรือวางทุ่นระเบิดใหม่ และต้องดำเนินการเก็บกู้พื้นที่ที่เคยปนเปื้อนให้ปลอดภัย
ดังนั้น การที่หลักฐานชี้ชัดว่ามีการวางทุ่นระเบิดใหม่ในพื้นที่ชายแดน ถือเป็นการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง
ไทยยื่นร้องเรียนอย่างเป็นทางการ
นายจิรายุเปิดเผยว่า ขณะนี้ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ได้มีหนังสือถึงประธานการประชุมรัฐภาคีของอนุสัญญาออตตาวา เพื่อร้องเรียนการละเมิดพันธกรณีของกัมพูชาอย่างเป็นทางการแล้ว
นอกจากนี้ ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติทั้งใน เจนีวา และ นิวยอร์ก กำลังเร่งเดินสายพบ เลขาธิการสหประชาชาติ และผู้แทนระดับสูงจากประเทศภาคีต่าง ๆ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงและผลักดันให้มีการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายระหว่างประเทศ
การฟ้องร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)
โฆษกรัฐบาลย้ำว่า กรณีนี้ประเทศไทยจะดำเนินการฟ้องร้องผู้นำกัมพูชาต่อ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court – ICC) ในข้อหา “อาชญากรสงคราม” จากการโจมตีพื้นที่พลเรือนและโรงพยาบาลของไทย
นายจิรายุได้ชี้แจงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดว่า ICC แตกต่างจาก ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ศาลโลก” โดย ICC มีอำนาจพิจารณาคดีเกี่ยวกับการก่ออาชญากรรมระหว่างประเทศ เช่น อาชญากรรมสงคราม อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ขณะที่ ICJ ทำหน้าที่พิจารณาข้อพิพาทระหว่างรัฐ และไทยได้ประกาศไม่ยอมรับเขตอำนาจของ ICJ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503
การปฏิเสธข้อเสนอความร่วมมือของกัมพูชา
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียง 2 วัน หลังจากการประชุม General Border Committee (GBC) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งฝ่ายไทยได้เสนอให้มีการเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกันในพื้นที่ชายแดน เพื่อความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองประเทศ
แต่ฝ่ายกัมพูชากลับปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว ทำให้ฝ่ายไทยมองว่าการลักลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ในเวลาต่อมาเป็นการกระทำที่ “น่าละอาย” และอาจสะท้อนถึงเจตนาที่ไม่ต้องการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
เหตุซ้ำซากภายในเดือนเดียว
นายจิรายุเปิดเผยอีกว่า เหตุการณ์กำลังพลไทยได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว 3 ครั้งในรอบไม่ถึงหนึ่งเดือน ซึ่งสร้างความกังวลอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยของทั้งทหารและประชาชนในพื้นที่ชายแดน
การรวบรวมพยานหลักฐาน
รัฐบาลไทยได้มอบหมายให้หน่วยงานความมั่นคงและกระทรวงการต่างประเทศรวบรวมหลักฐาน ทั้งภาพถ่าย พยานบุคคล และรายงานจากหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการดำเนินคดีต่อ ICC โดยจะชี้ชัดถึงการกระทำที่เข้าข่าย “อาชญากรรมสงคราม” ตามนิยามของกฎหมายระหว่างประเทศ
ท่าทีและถ้อยแถลงของรัฐบาลไทย
โฆษกรัฐบาลกล่าวปิดท้ายการแถลงว่า
“รัฐบาลขอแสดงความเสียใจต่อกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว และขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการกระทำของกัมพูชา”
พร้อมย้ำว่ารัฐบาลจะไม่เพิกเฉยต่อการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศ และจะดำเนินการทุกช่องทางเพื่อปกป้องชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนไทย
ความหมายทางการเมืองและความสัมพันธ์ทวิภาคี
การดำเนินการของรัฐบาลไทยในครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและกัมพูชาอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการฟ้องผู้นำประเทศต่อ ICC เป็นขั้นตอนที่มีน้ำหนักทางการเมืองและสร้างแรงกดดันระหว่างประเทศ
นักวิเคราะห์มองว่า การใช้ช่องทางกฎหมายระหว่างประเทศไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องสิทธิของไทย แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณว่าไทยจะไม่ยอมรับพฤติกรรมที่ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมและพันธกรณีระหว่างประเทศ
ก้าวต่อไปของคดีนี้
ขั้นตอนต่อจากนี้ ไทยจะต้องส่งข้อมูลและหลักฐานทั้งหมดไปยัง สำนักงานอัยการของ ICC ซึ่งจะทำหน้าที่ประเมินว่ามีมูลเพียงพอที่จะเริ่มกระบวนการสอบสวนหรือไม่ หากมีมูล อัยการจะเสนอให้ศาลออกหมายจับต่อผู้ที่รับผิดชอบในระดับสูง ซึ่งในกรณีนี้หมายถึงผู้นำกัมพูชาและผู้บัญชาการทางทหารที่เกี่ยวข้อง
แม้กระบวนการของ ICC อาจใช้เวลานานหลายปี แต่การยื่นเรื่องฟ้องร้องครั้งนี้ก็ถือเป็นการบันทึกอย่างเป็นทางการถึงการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศของกัมพูชา และเป็นการสร้างแรงกดดันในเวทีโลก
บทสรุป
เหตุการณ์ลักลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ไม่เพียงสร้างความสูญเสียต่อกำลังพลไทย แต่ยังเป็นชนวนให้เกิดการดำเนินการทางกฎหมายระหว่างประเทศอย่างจริงจัง การที่รัฐบาลไทยตัดสินใจยื่นเรื่องร้องเรียนต่ออนุสัญญาออตตาวา และเตรียมฟ้องผู้นำกัมพูชาต่อ ICC สะท้อนถึงท่าทีที่แข็งกร้าวและมุ่งมั่นในการปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน
ในขณะที่สถานการณ์ยังคงตึงเครียด สิ่งที่ต้องจับตาคือการตอบสนองจากฝ่ายกัมพูชา และท่าทีของนานาประเทศต่อกรณีนี้ ซึ่งอาจมีผลต่อทิศทางความสัมพันธ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในระยะยาว






















