ดราม่าร้อน! กัน จอมพลัง-ต้นอ้อ อ้างสนิทอธิบดีพม. แชตปี 66 หลุด
ดราม่าไฟลามทุ่ง! “กัน จอมพลัง” vs “ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง” กับแชตหลุดสุดระอุ ปมแขตปริศนาและอธิบดี พม.
ในโลกโซเชียลมีเดียช่วงนี้เกิดดราม่าร้อนแรงจนกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ระหว่างสองนักเคลื่อนไหวเพื่อสังคมชื่อดังของไทย คือ กัน จอมพลัง หรือ กัณฐ์ศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ กับ ชลิตา พะละมาตย์ หรือที่รู้จักกันในชื่อเล่นว่า “ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง”
เรื่องราวเริ่มต้นจากการหลุดของข้อความแชตเก่าในปี 2566 ที่สร้างความไม่พอใจและเกิดความเข้าใจผิดกันระหว่างสองฝ่าย โดยมีการพาดพิงเรื่อง “แขตปริศนา” และความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งส่งผลให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่สั่นคลอนอย่างหนัก
จุดเริ่มต้นของแชตหลุดและดราม่าระอุ
ต้นเรื่องมาจากภาพแชตข้อความเก่าที่หลุดออกมาในโลกออนไลน์ เป็นข้อความจากต้นอ้อที่พูดคุยกับผู้เสียหายรายหนึ่ง ระบุว่า “กัน จอมพลังสนิทกับอธิบดี พม. เลยไม่ลงมาจัดการเอง” พร้อมกล่าวว่า “พี่พาลุยเองดีกว่า หน่วยงานรัฐปกปิดกันดีนัก”
ข้อความดังกล่าวมีเนื้อหาเกี่ยวกับคดีการทารุณกรรมเด็กในศูนย์ดูแลของรัฐ ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวที่กำลังถูกจับตาอย่างใกล้ชิด
หลังจากข้อความหลุดออกมา กัน จอมพลัง ได้ออกมาโพสต์ชี้แจงและแสดงความรู้สึกผ่านโซเชียลมีเดียอย่างยาว โดยกล่าวว่า
การรู้จักกับผู้ใหญ่หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูง ไม่ได้แปลว่าจะปกปิดความไม่ถูกต้องหรือปัญหาที่เกิดขึ้น
การทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาบางครั้งจำเป็นต้องทำ “หลังบ้าน” หรือในทางลับ เพื่อไม่ให้กระทบต่อองค์กรที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่ใช่การเปลี่ยนความผิดให้กลายเป็นถูก
ยืนยันว่าไม่เคยเปลี่ยน “ดำให้เป็นขาว” แน่นอน
นอกจากนี้กันยังระบุด้วยว่า ตัวเขาและต้นอ้อไม่ได้สนิทหรือทำงานร่วมกันโดยตรง และควรจะพูดคุยให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ควรนำเรื่องไปติสเครดิตกันเอง
ความรู้สึกและคำเตือนจากกัน จอมพลัง
กันยังได้เผยความในใจเพิ่มเติมว่า เคยได้รับโทรศัพท์จากต้นอ้อในช่วงที่มีปัญหากับทนายความ ซึ่งต้นอ้อได้โทรมาขอโทษในเรื่องนั้น และเขาเองก็ไม่เคยซ้ำเติมใดๆ แต่เมื่อเห็นข้อความแชตที่หลุดออกมา ก็รู้สึกเสียใจและผิดหวัง
เขายังเตือนสติว่า “การเติบโตที่ยั่งยืนในวงการนักเคลื่อนไหวไม่ควรใช้วิธีการเหยียบหัวคนอื่นเพื่อขึ้นไป”
ต้นอ้อ “เป็นหนึ่ง” ชี้แจงปมแชตหลุดและความเข้าใจผิด
หลังจากแชตหลุดกลายเป็นดราม่าร้อนแรง ต้นอ้อก็ออกมาชี้แจงผ่านโซเชียลมีเดียและสื่อว่า
เธอยอมรับว่าเป็นผู้พิมพ์ข้อความในแชตนั้นจริง
แต่ข้อความนั้นเป็นการพูดคุยส่วนตัวกับผู้เสียหายรายหนึ่งในช่วงที่ยังทำงานอยู่ใน “มูลนิธิวินวิน” เมื่อปี 2566
ตอนนั้นเธอยังมีประสบการณ์น้อย และไม่ได้ทำงานในเคสเดียวกันกับกัน จอมพลัง
ระหว่างดำเนินการดูแลเคส มีผู้ใหญ่ในหน่วยงานโทรสั่งให้หยุด เพราะเกรงว่าจะกระทบภาพลักษณ์ขององค์กร ทำให้ต้นอ้อเข้าใจผิดเกี่ยวกับท่าทีของกัน
ยืนยันว่าแชตนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เคยมีเจตนาเผยแพร่ให้สาธารณะรู้ และไม่เคยต้องการทำลายชื่อเสียงของกัน จอมพลัง
เคยมีการพูดคุยปรับความเข้าใจกันเป็นการส่วนตัวมาแล้วในช่วงปีที่ผ่านมา
วิเคราะห์ประเด็นดราม่าและความสำคัญในสังคม
ดราม่าระหว่างนักเคลื่อนไหวทั้งสองคนสะท้อนให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนและความซับซ้อนในการทำงานด้านสังคม โดยเฉพาะเคสที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเด็กและผู้ด้อยโอกาสในศูนย์ของรัฐ
ประเด็นนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่า การทำงานในระบบราชการหรือร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ อาจมีข้อจำกัดและแรงกดดันที่ทำให้ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลหรือดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาได้เสมอไป
ทั้งสองฝ่ายต่างยืนยันว่าตนเองทำงานเพื่อประโยชน์ของสังคม แต่ในขณะเดียวกันความไม่เข้าใจหรือการสื่อสารที่ผิดพลาดก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของคนทำงาน
บทเรียนสำคัญสำหรับนักเคลื่อนไหวและสังคม
1. ความโปร่งใสและการสื่อสาร
การทำงานในประเด็นสังคมที่ละเอียดอ่อน ต้องมีความชัดเจนและโปร่งใสในการสื่อสารทั้งภายในทีมและกับสาธารณะ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด
2. การรักษาความสัมพันธ์และเกียรติยศ
แม้จะมีความเห็นต่างหรือความขัดแย้ง ควรรักษามารยาทและเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อรักษาคุณค่าของงานและภาพลักษณ์ในสายตาสาธารณะ
3. การจัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์
เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาหรือความขัดแย้ง ควรมีการพูดคุยและแก้ไขด้วยเหตุผล ไม่ปล่อยให้เรื่องลุกลามจนกลายเป็นดราม่าที่ส่งผลเสียต่อทั้งตัวเองและผู้ที่เกี่ยวข้อง
สรุป
ดราม่าระหว่าง กัน จอมพลัง กับ ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง ที่เกิดจากแชตหลุดและเรื่องราวที่ถูกตีความในสื่อสังคมออนไลน์ เป็นตัวอย่างของความท้าทายในการทำงานด้านสังคมและการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเด็กและผู้ด้อยโอกาส
แม้จะมีความขัดแย้ง แต่ทั้งสองฝ่ายต่างยืนยันความตั้งใจดีในการแก้ไขปัญหา และได้พยายามหาทางปรับความเข้าใจกันแล้ว
สิ่งที่สังคมและนักเคลื่อนไหวควรตระหนักคือ ความโปร่งใส การเคารพกัน และการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและสังคมไทย





















