สาวลูกครึ่งเขมรเปิดใจสุดช็อก! ญาติถูกบีบให้เป็นทหาร ไม่รอดแม้ไม่เต็มใจ
ชะตากรรมที่ไร้เสียง: น้ำตาของผู้หญิงไทยเชื้อสายกัมพูชา กับความจริงที่ไม่เคยถูกพูดถึงในประเทศเพื่อนบ้าน
ในยุคที่เทคโนโลยีทำให้โลกดูเหมือนจะเล็กลง การสื่อสารข้ามพรมแดนเป็นเรื่องง่ายเพียงปลายนิ้ว แต่เสียงของความเจ็บปวดและความสิ้นหวังจากผู้คนบางกลุ่มกลับยังคงไร้ที่ยืนในพื้นที่สาธารณะ เช่นเดียวกับเรื่องราวอันสะเทือนใจที่ถูกเปิดเผยผ่านเพจเฟซบุ๊กชื่อดัง "อรรถรส" ซึ่งได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์สุดสะเทือนใจจากรายการ “แฉ” ที่มีผู้หญิงไทยเชื้อสายกัมพูชารายหนึ่งกล้าออกมาเล่าเรื่องราวเบื้องหลังวิกฤตการณ์เงียบที่กำลังเกิดขึ้นในกัมพูชา
เสียงจากอีกฝั่งพรมแดน: “พี่ น้องตายเปิดแล้ว”
หญิงไทยเชื้อสายกัมพูชารายนี้ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เธอแทบจะทรุดลงกลางสายโทรศัพท์ เมื่อเธอได้รับสายจากลูกสาวที่ยังคงอาศัยอยู่ในฝั่งกัมพูชา โดยลูกสาวพูดเพียงประโยคสั้น ๆ ที่ทำให้เธอใจสลายทันทีว่า “พี่ น้องตายเปิดแล้ว”
คำพูดเพียงไม่กี่คำนี้คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอันโหดร้ายซึ่งยังไม่เคยถูกพูดถึงอย่างเปิดเผยในวงกว้าง หญิงรายนี้เผยว่า ญาติพี่น้องของเธอที่เคยอาศัยอยู่ในกัมพูชา และต้องกลับไปบ้านเกิดนั้น “ตายหมดแล้ว” และที่เลวร้ายกว่านั้นคือ การตายของพวกเขาไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ แต่เกิดจากสถานการณ์การกดขี่ของรัฐและกองทัพที่เข้ามาควบคุมชีวิตผู้คนในรูปแบบที่โหดเหี้ยม
“ไม่ไปเป็นทหาร ก็ถูกยึดบ้าน ยึดไร่นา ไม่ให้สัญชาติ”
หญิงรายนี้เล่าต่อว่า ผู้ที่อยู่ในเขตควบคุมของรัฐกัมพูชา หากปฏิเสธไม่เข้ารับราชการทหาร จะถูกข่มขู่ให้ยอมด้วยการยึดที่ดิน บ้าน และไร่นา รวมไปถึงการไม่ออกเอกสารรับรองสัญชาติ ส่งผลให้ประชาชนไม่มีสิทธิตามกฎหมาย และใช้ชีวิตอย่างคนไร้ตัวตน
“เขาบังคับให้กลับไป ถ้าไม่กลับ ก็กลัวจะไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่ดิน ไม่มีเอกสารสัญชาติ ถ้ากลับไปก็ต้องเป็นทหารให้เขา ไปถึงก็สวมเครื่องแบบเลย”
คำพูดเหล่านี้เผยให้เห็นถึงสถานการณ์อันน่าหวาดกลัวในสังคมกัมพูชาที่ผู้คนไม่ได้มีสิทธิเลือกชีวิตของตนเอง แต่ถูกบีบบังคับให้เข้าร่วมกองทัพ ทั้งที่ไม่มีความพร้อม หรือแม้แต่เจตนาจะทำ
ทหารนิรนาม และความตายที่ไม่มีใครเก็บศพ
ที่น่าเศร้ายิ่งกว่าคือ ผู้หญิงรายนี้เชื่อว่าญาติของเธอที่ถูกเกณฑ์เป็นทหารทั้งหมด "ตายหมดแล้ว" และที่น่ากลัวคือ “ไม่มีใครไปเก็บศพ” ไม่มีแม้แต่การประกาศ หรือรายงานใด ๆ ที่เปิดเผยต่อสาธารณชน ไม่มีการแสดงความเสียใจ ไม่มีการชี้แจงว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านั้น และที่น่าตกใจกว่านั้นคือ หากมีใครพยายามโพสต์ข้อความตามหาญาติ หรือแม้แต่แสดงความเห็นเกี่ยวกับรัฐบาลกัมพูชา ก็จะถูกจับเข้าคุกทันที
“ใครโพสต์ตามหาญาติ หรือโพสต์ว่าไม่อยากไปรบ ก็ถูกจับเลย คนเลยไม่กล้าโพสต์อะไรทั้งนั้น”
นี่คืออีกหนึ่งสัญญาณของรัฐที่ขาดเสรีภาพในการแสดงออก และใช้อำนาจควบคุมข้อมูลข่าวสารอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
“ត្បូង ស្រ” คำพูดที่ถูกกระซิบในเงามืด
ผู้หญิงรายนี้ยังเล่าว่า มีชาวกัมพูชาหลายคนพูดถึงประโยคที่เธอจำได้แม่นว่า “ត្បូង ស្រ” ซึ่งเป็นคำกระซิบในหมู่ประชาชนที่มีความหมายลึกซึ้งต่อสถานการณ์การเมืองในประเทศของพวกเขา
โดยเธอกล่าวเสริมว่า หาก “ระเบิดบ้านฮุนเซนได้ ทุกอย่างคงจบ” เพราะประชาชนเชื่อว่า ปัญหาทั้งหมดที่พวกเขาเผชิญอยู่เกิดขึ้นจากระบบที่มี "ฮุน เซน" และครอบครัวเป็นแกนกลางของอำนาจ ซึ่งครองอำนาจมายาวนานกว่า 40 ปี ด้วยกลไกของกองทัพ ตำรวจ และหน่วยข่าวกรองที่ปิดปากประชาชนมาโดยตลอด
แม้ประชาชนบางคนอยากเปลี่ยนแปลง แต่อำนาจของกองทัพที่คุ้มกันผู้นำแน่นหนาทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นไปไม่ได้
ประเทศที่เงียบเกินไป: เมื่อการปิดข่าวคือการควบคุมวิถีชีวิต
สิ่งที่น่าเศร้าไม่ใช่แค่ชะตากรรมของคนที่ต้องสวมเครื่องแบบและล้มตายโดยไม่มีการบันทึกในประวัติศาสตร์ แต่คือความเงียบงันของทั้งประเทศ ที่ไม่มีแม้แต่เสียงประท้วงหรือการเรียกร้องความยุติธรรม เพราะทุกเสียงที่ตะโกนออกมาจะถูกบดขยี้ด้วยอำนาจรัฐ
ในประเทศที่ประชาชนไม่มีสิทธิแม้แต่จะพูดถึงความตายของคนในครอบครัว หรือถามหาความเป็นธรรมกับรัฐบาล ความกลัวจึงกลายเป็น “เครื่องแบบ” ที่ทุกคนต้องสวมโดยไม่มีทางเลือก
ความจริงที่ต้องถูกพูดถึง
เรื่องราวนี้อาจไม่ถูกเผยแพร่ในสื่อกระแสหลักของกัมพูชา หรือแม้แต่ในสื่อสากล เพราะการควบคุมข้อมูลของรัฐกัมพูชาในยุคนี้ยังคงมีความเข้มงวดสูง ประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองในรูปแบบอำนาจนิยมไม่ได้มีสิทธิเสรีภาพเหมือนประชาชนในประเทศประชาธิปไตย และเหตุการณ์เหล่านี้ก็มักจะถูกปิดเงียบไม่ให้โลกภายนอกรับรู้
ทางออกที่ยังริบหรี่
แม้ผู้หญิงรายนี้จะกล้าพูดออกมา แต่ก็เป็นที่น่ากังวลว่า ความจริงที่เธอเปิดเผยอาจไม่ได้ส่งผลใด ๆ ต่อการเปลี่ยนแปลงในประเทศเพื่อนบ้านเลย หากไม่มีความช่วยเหลือหรือแรงกดดันจากนานาชาติในการเรียกร้องให้กัมพูชาเปิดพื้นที่ให้สิทธิมนุษยชน เสรีภาพในการพูด และความยุติธรรมที่แท้จริงเกิดขึ้น
เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งอาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทั้งประเทศได้ในทันที แต่การที่เรื่องราวของเธอถูกเผยแพร่ คือจุดเริ่มต้นของการสะท้อนภาพที่แท้จริงให้โลกได้รับรู้ และตั้งคำถามถึงความเงียบขององค์กรสิทธิมนุษยชนระดับโลกต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศกัมพูชา
สรุป
เรื่องราวของหญิงไทยเชื้อสายกัมพูชารายนี้คือภาพสะท้อนของประชาชนที่ตกอยู่ใต้เงามืดของระบอบอำนาจนิยม ชีวิตที่ไม่มีทางเลือก เสียงที่ไม่มีใครได้ยิน และความตายที่ไม่มีใครรับรู้ บางทีสิ่งที่เราทุกคนทำได้ อาจไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทันที แต่คือการไม่ลืม และการกล้าพูดถึงความอยุติธรรมที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างเงียบงันในมุมมืดของโลก
#ทายนิสัยจากกาแฟ: เดือนเกิดคุณเปรียบเหมือนกาแฟแก้วไหน? ทายบุคลิก ความรัก และการเงินจากเครื่องดื่มแก้วโปรด
ไขความจริง: กินดึกแค่ไหนถึงไม่อ้วน?
พบเนินเขาคล้ายรูปหัวกะโหลกสุดหลอน ในหลุมภูเขาไฟที่ทะเลทรายซาฮาร่า
“คัลแมกี” พายุแห่งลมฝน กับบทเรียนแห่งความไม่ประมาท
นิสัย "ดาร์กๆ" ตามวันเกิด: สำรวจด้านมืดที่ซ่อนอยู่
💐 เติมสีสันและคุณค่า: ๑๐ ดอกไม้กินได้ สวยงามและดีต่อสุขภาพ
ถอดรหัสความกลัว: ทำไมตัวตลกในหนังจึงน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าปีศาจ?
รายงานการประมาณการ “บ้านว่าง” ในประเทศไทย พ.ศ.2568
ลือ ฮุนเซน ป่วยหนัก ขอมาฟอกไตที่ไทย คุยลับ
เขมรแสบ..ขอทำฟันทั้งปากก่อนส่งตัวกลับ
ลือ ฮุนเซน ป่วยหนัก ขอมาฟอกไตที่ไทย คุยลับ
"เจนี่" เผยสถานะหัวใจกับ "เศรษฐีฮ่องกง"..ยอมรับมีคนคุย แต่ไม่พร้อมโฟกัสเรื่องรัก
ไขความจริง: กินดึกแค่ไหนถึงไม่อ้วน?
พ่อแม่และเพื่อนๆ กำลังตามหาหญิงชาวรัสเซียที่ป่วยด้วยโรคระบบประสาทซึ่งหายตัวไปนานกว่า 20 วันในภูเก็ต
เบลารุสฝึกเด็กนักเรียน เพื่อเตรียมรับสงครามจริง
หญิงจีนเผยประสบการณ์สุดช็อก หลังถูกโรงแรมในสิงคโปร์เรียกเก็บค่าปรับ 200 ดอลลาร์
“คัลแมกี” พายุแห่งลมฝน กับบทเรียนแห่งความไม่ประมาท


